วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2563

ผีลุ้นขึ้นที่6! 7 ประเด็นก่อนเกมแมนยูบุกรังเซาธ์แฮมป์ตัน

คืนนี้ "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เจออีกหนึ่งบททดสอบสำคัญ

ในศึก พรีเมียร์ลีก "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีคิวบุกไปเยือนทีมแกร่งอย่าง เซาธ์แฮมป์ตัน ซึ่งถือเป็นเกมที่น่าสนใจทีเดียว เนื่องจากทีมของกุนซือ โอเล่ กุนนาร์ โชลชา ก็ฟอร์มดุเหลือเกินยามเล่นนอกบ้าน ส่วน "นักบุญ" ก็มาดีมากๆ ในซีซั่นนี้ และนี่คือ 7 ประเด็นที่น่าสนใจก่อนเกมที่สังเวียนแข้ง เซนต์ แมรี่ส์ สเตเดี้ยม  

ผีสถิติข่ม แต่... เซาธ์แฮมป์ตัน ไม่สามารถเอาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้เลย จากการเจอกัน 8 ครั้งหลังสุดในศึก พรีเมียร์ลีก (เสมอ 5, แพ้ 3) อย่างไรก็ตาม 4 จาก 5 ครั้งหลังสุดที่ดวลกัน จบลงด้วยการเสมอ ซึ่งก็รวมถึงสองเกมในฤดูกาลที่แล้ว (1-1 และ 2-2) เซาธ์ฯ โคตรแกร่ง ไม่แพ้ใครตั้งแต่ก.ย. นอกจากมักจะทำผลงานได้ดีในระยะหลังที่เจอกับ แมนฯ ยูไนเต็ด แล้ว ฤดูกาลนี้ทีม "นักบุญ" ของกุนซือ ราล์ฟ ฮาเซนฮุทเทิ่ล ยังทำผลงานได้ดีเกิดคาดด้วย โดยปัจจุบันรั้งอันดับ 5 ในตารางคะแนน พรีเมียร์ลีก แถม 7 เกมหลังสุด พวกเขาสะกดคำว่า "แพ้" ไม่เป็น ที่สำคัญเป็นการชนะถึง 5 นัดด้วย (เสมอ 2) โดยครั้งล่าสุดที่แพ้คือเกมเปิดบ้านพ่าย ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 2-5 เมื่อวันที่ 20 กันยายน เช "นักบุญ" อันตราย ถึงแม้ แดนนี่ อิงส์ ดาวยิงคนสำคัญ ยังไม่พร้อมลงเล่นเกมนี้ แต่ เซาธ์แฮมป์ตัน ยังมี เช อดัมส์ เป็นตัวอันตรายในแนวรุก ซึ่งแผงหลัง "ปีศาจแดง" จะประมาทไม่ได้เลย เพราะเกมลีก 9 นัดที่ลงเล่นในฤดูกาลนี้ เจ้าตัวมีส่วนช่วยทีมได้ประตูถึง 6 ลูก (ยิง 3, แอสซิสต์ 3) เลยทีเดียว และอาจจะมีอีกก็ได้ในเกมคืนนี้  

7 ประเด็น..ผีบุกถิ่นนักบุญ

แมนฯ ยูไนเต็ด ลุ้นสร้างสถิติ!!! อย่างที่รู้ๆ กันว่า ช่วงนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด เหมือนชอบเตะเกมนอกบ้านมากกว่าในบ้านตัวเอง ซึ่งถ้านับรวมจากฤดูกาลที่แล้ว พวกเขาคว้าชัยชนะเกมเยือนในศึก พรีเมียร์ลีก มาแล้ว 7 นัดติด และถ้าทำได้อีกในเกมนี้ ก็จะถือเป็นสถิติใหม่ของสโมสร เพราะก่อนหน้านี้ "ปีศาจแดง" ไม่เคยเฮนอกบ้าน 8 นัดติดในลีกสูงสุดเมืองผู้ดี 

ฟาน เดอ เบ็ค สตาร์ทตัวจริง? ด้วยการที่ ปอล ป็อกบา และ สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ ต่างมีปัญหาเรื่องความฟิต และไม่น่าจะมีชื่ออยู่ในทีมสำหรับเกมนี้ ดังนั้นจึงมีโอกาสสูงมากๆ ที่ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค กองกลางชาวดัตช์ จะได้รับโอกาสตาร์ทเป็นตัวจริง ซึ่งนั่นจะเป็นการได้ลงเล่นตัวจริงครั้งในศึก พรีเมียร์ลีก ของเจ้าตัวด้วย เพราะ 6 นัดก่อนหน้านี้ เป็นการลงสนามในฐานะตัวสำรองทั้งหมด มาร์กซิยาล ยังไร้สกอร์ในเกมลีก ฤดูกาลนี้ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล หัวหอกเฟร้นช์แมนของ "ปีศาจแดง" ฟอร์มตกอย่างน่าใจหาย เมื่อเทียบกับฤดูกาลที่แล้ว toollanyardsbagsandbelts.com เพราะจนถึงตอนนี้เจ้าตัวยังทำประตูเกมลีกไม่ได้เลย จากการลงเล่น 5 นัด และถ้านับรวมจากซีซั่นก่อนด้วย เจ้าตัวไร้สกอร์ในลีกมา 7 นัดติดเข้าไปแล้ว แต่เกมนี้เจ้าตัวอาจจะเปิดซิงลูกแรกก็ได้ ใครจะไปรู้ (ถ้าได้ลงเล่นนะ)

"ปีศาจแดง" พุ่งขึ้นที่ 6 ถ้า... ฤดูกาลนี้แต่ละทีมมีคะแนนเบียดกันเหลือเกิน ดังนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด จึงมีโอกาสกระโดดจากอันดับ 13 ขึ้นไปอยู่ที่ 6 เลยทีเดียว หากเกมนี้ชนะ "นักบุญ" อย่างน้อย 4 ประตู ซึ่งเงื่อนไขที่ว่าอาจจะดูยากไปหน่อย แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกมยากๆ แบบนี้ โซลชา มักจะทำได้เหนือกว่าที่คาด

ซีดานหงอย! มาดริดห่วยพ่ายอลาเบสคาบ้านไร้ชัย3นัดติด

เรอัล มาดริด vs อลาเบส 

"ราชันชุดขาว" เสียหายหนักหลังเปิดบ้านพ่าย อลาเบส 1-2 จากความผิดพลาดของ นาโช่ เฟร์นานเดซ และ ติโบต์ กูร์กตัวส์ บวกสถิติไร้ชัยในเกมลีก 3 นัดติดต่อกันมี 17 คะแนนจากการลงสนาม 10 นัดรั้งอันดับ 4 ของตาราง ในศึกฟุตบอลลา ลีกา สเปน คืนวันเสาร์ที่ผ่านมา

เรอัล มาดริด ไม่ชนะใครในเกมลีกมา 2 นัดติดต่อกัน โดยนัดล่าสุดบุกไปแชร์แต้มกับ บียาร์เรอัล 1-1 ทำให้เจ้าบ้านรั้งอันดับที่ 4 ของตารางคะแนนในเวลานี้ ส่วนผลงานในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกรอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม บี นัดที่แล้วคว้าชัยเหนือ อินเตอร์ มิลาน 2-0 ส่วนทาง อลาเบส เปิดบ้านเสมอกับ บาเลนเซีย 2-2 ในเกมลีกนัดล่าสุด ทำให้ทีมเยือนไร้ชัยมา 3 นัดรวด โดยรั้งอันดับที่ 15 ของตารางคะแนนในเวลานี้ 5 นาทีผ่านกลายเป็น อลาเบส ทะยานออกนำจากลูกเตะมุมทางฝั่งขวาโยนมาเสาไกลให้ บิคตอร์ ลากวาร์เดีย โขกเข้าในไปติดมือ นาโช่ เฟร์นานเดซ ผู้ตัดสิน ชี้เป็นจุดโทษทันทีและเป็น ลูกัส เปเรซ รับหน้าที่สังหารเข้าไป โอกาสลุ้นครั้งแรกของ "ราชันชุดขาว" ต้องรอถึงนาทีที่ 15 จากลูกเตะมุมทางขวาของ โทนี่ โครส ปั่นเข้าเขตโทษมาตกใส่หัว มาเรียโน่ ดิอ๊าซ ขึ้นโขกเต็มแรงแต่บอลตรงตัว ดาเนี่ยล ปาเชโก้ 5 นาทีต่อมา เจ้าถิ่น พลาดโอกาสทองเป็น เอแดน อาซาร์ ไปฉกบอลจาก โรดรีโก้ บัตตาย่า พาแหวกขึ้นมาได้ช่องหวดด้วยขวาไปตรงตัว ดาเนี่ยล ปาเชโก้ ก่อนจังหวะต่อเนื่องโดน รูเบน ดูอาร์เต้ three4design.com หวดล้มลงไปแต่ไม่ได้จุดโทษ นาทีที่ 24 อลาเบส มาพลาดคืนบ้างจากลูกสวนกลับ โฆต้า เปเลเตยโร่ วางบอลข้ามให้ ลูกัส เปเรซ หลุดกับดักล้ำหน้าพาจี้เข้าเขตโทษแต่จังหวะยกบอลไปติดมือ ติโบต์ กูร์กตัวส์ เซฟไว้ได้เหลือเชื่อ

เรอัล มาดริด 1 อลาเบส 2 

ก่อนหมดครึ่งแรก 15 นาที "ราชันชุดขาว" ต้องมาเสีย เอแดน อาซาร์ บาดเจ็บไม่สามารถเล่นต่อได้ ซีเนดีน ซีดาน ต้องส่ง โรดริโก้ โกเอส ลงสนามแทน นาทีที่ 39 จากความผิดพลาดของแนวรับ อลาเบส โดน มาเรียโน่ ดิอ๊าซ ฉกบอลได้หน้าเขตโทษก่อนเป็น โทนี่ โครส ก้มหน้าซัดเลือกเสาไกลแต่ยังติดขา ดาเนี่ยล ปาเชโก้ เด้งมาเข้าทางตามน้ำอีกทีก็ยังไม่ผ่านมือ ปาเชโก้ เหมือนเดิม

หลังจากนั้น เจ้าถิ่น โหมหนักจากบอลครอสทางฝั่งขวา มาเรียโน่ ดิอ๊าซ หาช่องขึ้นโขกได้ 2 ครั้งแต่ก็ยังไม่ดีพอเบิกสกอร์ตีเสมอ หมดครึ่งเวลาแรก เรอัล มาดริด 0 อลาเบส 1 เปิดฉากครึ่งหลัง 4 นาที อลาเบส ทิ้งห่างออกไปจากความผิดพลาดของ ติโบต์ กูร์กตัวส์ โดน ลูกัส เปเรซ วิ่งกดดันออกบอลไม่ดีไปเข้าเท้า โฆเซลู อ่านเกมโฉบมาตัดก่อนยิงเร็วเข้าไปไม่เหลือ นาทีที่ 54 เจ้าถิ่น เกือบตีไข่แตกจากบอลทางขวาของ โรดริโก้ โกเอส จ่ายบอลแฉลบแนวรับ อลาเบส มาเข้าทาง โทนี่ โครส อัดด้วยขวาหน้าหัวกะโหลกติดเซฟ ดาเนี่ยล ปาเชโก้ ต่อมานาทีที่ 63 อลาเบส หวิดปิดกล่องจากบอลสวนกลับ ฟลอเรียง เลอเณิน ยกบอลข้ามแนวรับให้ ลูกัส เปเรซ หลุดเดี่ยวขึ้นมาดึงบอลหลบ ราฟาแอล วาราน ซัดด้วยซ้ายติดปลายมือ ติโบต์ กูร์กตัวส์ 5 นาทีต่อมา ทีมเยือน ได้ลุ้นอีกรอบคราวนี้เป็นบอลจากหน้าปากประตูตัวเองทิ้งยาวให้ ลูกัส เปเรซ ใช้ความเร็วหนีขึ้นมาก่อนตั้งให้ โฆเซลู สอดมาตะบันเฉี่ยวสามเหลี่ยมออกไปนิดเดียว นาทีที่ 73 เรอัล มาดริด เร่งเครื่อง ลูคัส บาสเกซ พาบอลแหวกเข้าในป้ายต่อให้ อีสโก้ แทงเร็วถึง โรดริโก้  ได้ช่องซัดด้วยขวาลอดแนวรับ อลาเบส หลุดออกไปเหมือนเดิม "ราชันชุดขาว" ได้ลุ้นอีกครั้งจากลูกโขกของ มาเรียโน่ ดิอ๊าซ หนีมาเสาไกลโหม่งบอลสวนตัว ดาเนี่ยล ปาเชโก้ กำลังจะข้ามเส้นแต่มาโดน ฟลอเรียง เลอเณิน สกัดทิ้งออกมาหวุดหวิด

สุดท้ายนาทีที่ 87 เจ้าถิ่นตีไข่แตกสำเร็จจากลูกเตะมุม ราฟาแอล วาราน โขกบอลมาเสาไกลถึง เวนิซิอุส จูเนียร์ ทิ้งตัวยิงไปติดเซฟ ดาเนี่ยล ปาเชโก้ ปัดมาเข้าทาง กาเซมีโร่ ซ้ำง่ายๆเข้าไป ช่วงทดเจ็บนาทีที่ 90+5 เวนิซิอุส จูเนียร์ พาบอลขึ้นมาจ่ายต่อให้ อีสโก้ กระชากเข้าในก่อนลองซัดด้วยขวาระยะร่วม 30 หลาไปชนคานส่งท้ายให้ "ราชันชุดขาว" จบเกม เรอัล มาดริด 1 อลาเบส 2 ลูกทีมของ ซีเนดีน ซีดาน ไร้ชัยในลีก 3 เกมติดมี 17 คะแนนจากการลงสนาม 10 นัดรั้งอันดับ 4 ของตาราง

เวสต์บรอมวิชสมหวังเฉือนเชฟยู ชนะเกมแรกในพรีเมียร์ลีกแล้ว

 เวสต์บรอมวิช vs เชฟฯ ยุไนเต็ด 

"เดอะ แบ็กกี้ส์" คว้าชัยชนะเกมแรกในลีกซีซั่นนี้แล้วหลังเปิดบ้านเฉือนเอาชนะ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด หวุดหวิด 1-0 เก็บสามแต้มพร้อมแซงฟูแล่ม และเบิร์นลี่ย์ ขึ้นไปอยู่อันดับ 17 แทน ส่วนดาบคู่จมบ๊วยของลีก ในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา

เกมพรีเมียร์ลีก คู่สุดท้ายของคืนวันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เป็นสองทีมท้ายตารางที่ยังไม่ชนะทีมใดระหว่างเจ้าถิ่น เวสต์บรอมวิช ทีมอันดับ 19 พบกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ทีมอันดับ 20 ครึ่งแรก เริ่มเล่นมาได้แค่ 13 นาที เจ้าถิ่น "เดอะ แบ็กกี้ส์" มาชิงขึ้นนำไปก่อน 1-0 บอลจากลูกเตะมุมทางด้านขวา มาเตอุส เปเรยร่า เปิดเข้าไปโดน  ซานเดอร์ เบิร์ก สกัดบอลไม่ดีมาเข้าทาง คอเนอร์ กัลลาเกอร์ แปสวนด้วยขวาเข้าไป แม้จะยิงไม่เต็มแรงแต่บอลพุ่งหนีมือ แอรอน แรมส์เดล เสียบมุมเข้าไป ttistextiledigest.com นาที 16 เชฟฯยูฯ เกือบได้ลุ้นตีเสมอ บอลจากริมเส้นทางซ้ายของ คีน ไบรอัน ครอสมาเสาแรกให้ โอลิเวอร์ เบิร์ก โขกแต่บอลยังไปติดมือของ แซม จอห์นสตัน เหินปัดออกหลังหวุดหวิด นาที 24 คอเนอร์ กัลลาเกอร์ ไหลให้ มาเตอุส เปเรยร่า กระชากเข้าหน้ากรอบก่อนซัดด้วยซ้ายหลุดเสาออกไปแบบได้เสียว

 เวสต์บรอมวิช เบียดเอาชนะ เชฟฯ ยุไนเต็ด 1-0

เดอะ แบ็กกี้ส์ ยังกดดันต่อเนื่อง นาที 34 เกือบได้ลุ้นเม็ดสองหลัง ดาร์เนลล์ เฟอร์ลอง ปาดเข้ามาหน้ากรอบ คาร์แลน แกรนท์ พุ่งมาซัดในกรอบ 6 หลาแต่ยังไปติด แอรอน แรมส์เดล ช่วงทดเจ็บ นาที 45+1 มาเตอุส เปเรยร่า ที่วันนี้เล่นได้โดดเด่นได้โอกาสตะบันด้วยซ้ายนอกกรอบอีกหนแต่บอลยังหลุดกรอบออกไป 

จบครึ่งแรก  เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ขึ้นนำ เชฟฯยูไนเต็ด 1-0 นาที 52 เจ้าบ้านได้ลุ้นจากลูกเตะมุม เปเรยร่า ที่วันนี้เล่นได้โดดเด่นเปิดมาให้ ไคล์ บาร์ทลี่ย์ โขกเต็มหัวไปติด แอรอน แรมส์เดล ปัดออกไปหวุดหวิด ครึ่งหลัง รูปเกมเจ้าถิ่นยังดีกว่า นาที 57 คอเนอร์ กัลลาเกอร์ มาเรียกฟรีคิกให้บนเส้น 18 หลา ก่อนที่ มาเตอุส เปเรยร่า จะตัดสินไม่ดียิงออกหลังไปแบบไม่ได้ลุ้น นาที 63 เชฟฯยูฯ ทิ้งโอกาสทอง หลัง โอลิเวอร์ เบิร์ก หลุดเข้าไปก่อนปาดมาหน้าประตูให้ จอร์จ บัลด็อค ยิงไม่ถึง 6 หลาแต่บอลดันเหินข้ามคานอย่างน่าผิดหวัง นาที 80 "ดาบคู่" พลาดตีเจ๊าอีกหน คราวนี้  โอลิเวอร์ แม็คเบอร์นี่ ได้โอกาสลองซัดในกรอบแต่ยิงไม่ดีพอบอลพุ่งไปติดมือ แซม จอห์นสตัน นาที 85 เจ้าบ้านสวนกลับขึ้นมาและเกือบได้ลุ้นเม็ดสองนำห่าง จากจังหวะซัดด้วยซ้ายของ ฮัล ร็อบสัน-คานู บอลพุ่งเกือบจะเข้าอยู่แล้วแต่ แอรอน แรมส์เดล ยังเหนียวปัดออกไปได้

ช่วงทดเจ็บ นาที 90+4 ริอาน บรูว์สเตอร์ กดด้วยขวานอกกรอบบอลพุ่งจน แซม จอห์นสตัน ต้องปัดออกไป อีกสองนาทีต่อมา บรูว์สเตอร์ ได้กดด้วยขวาไปติดบล็อคแข้งเจ้าถิ่นอีก ก่อนที่ ลีห์ส มุสเซ็ต จะซ้ำจ่อๆไม่ถึง 5 หลาบอลเหินคานอย่างน่าผิดหวัง จบเกม เวสต์บรอมวิช เบียดเอาชนะ เชฟฯ ยุไนเต็ด 1-0 เก็บชัยชนะนัดแรกของซีซั่นได้สำเร็จ พร้อมแซงหนีโซนตกชั้นขึ้นมาอยู่อันดับ 17 มี 6 คะแนน ส่วน เชฟฯยูไนเต็ด แพ้เกมที่ 9 จาก 10 นัด มี 1 แต้มจมบ๊วยอันดับ 20 ของตาราง

เปแอสเชแค่เสมอ! บอร์กโดซ์ดึงเจ๊าเสียฟอร์มก่อนบุกแมนยู

เปแอสเช vs บอร์กโดซ์ 

ปารีส แซงต์-แชร์กแมง สะดุดในลีกสองเกมติด ทำได้แค่เสมอกับ บอร์กโดซ์ 2-2 แบ่งคะแนน เสียฟอร์มก่อนมีคิวยกทัพเยือนถิ่น "ปีศาจแดง" แมนยู เกมแชมเปี้ยนส์ลีก วันพูธนี้ ในการแข่งขันศึกฟุตบอลลีกเอิง ฝรั่งเศส คืนวันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

ศึกฟุตบอลลีกเอิง ฝรั่งเศส คืนวันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ปารีส แซงต์-แชร์กแมง จ่าฝูงเกมนัดก่อนปราชัยให้ โมนาโก โธมัส ทูเคิ่ล เทรนเนอร์เจ้าบ้าน มีสามประสานทั้ง "เนย์มาร์,เอ็มบั๊ปเป้,คีน" ลงนัดนี้ก่อนมีคิวบุกดวล แมนยู ศึกชปล. เฝ้ารังฉะ บอร์กโดซ์ ที่ผลงานเพิ่งเริ่มดีเกมที่แล้ว ฌอง-หลุยส์ กัสเซ่ต์ กุนซือของทีมจัด "ฮาเต็ม เบน อาร์กฟา" ขับเคลื่อนแนวรุกนำทีมลุ้นชัยชนะ โดยก่อนเกมมีการไว้อาลัยแด่การจากไปของ ดีเอโก้ มาราโดน่า ทีมเยือนบุกก่อนนาทีที่ 7 มิคเชล บัคเกอร์ เลี้ยงบอลกระฉอกถูก ฮาเต็ม เบน อาร์กฟา ฉกบอลกลางสนามแทงออกมาที่ ฮวัง อุย-โจ ลากบอลเข้าเขตโทษตบเข้ากลางให้มิดฟิลด์ชาวฝรั่งเศสซัดติดเท้าแนวรับเจ้าถิ่นออกหลัง บอร์กโดซ์นำจนได้นาทีที่ 10 เมห์ดี แซร์คาน เปิดลูกเตะมุมทางซ้าย บอลลอยมาถึง จอช มายา วิ่งมาโหม่งสะบัดบอลตรงเขตโทษ 6 หลาทางเสาแรกแฉลบ ติโมธี เปมเบเล่ กองหลังเจ้าถิ่นซุกก้นตาข่าย เจ้าถิ่นชวดเจ๊านาทีที่ 13 ราฟินญ่า อัลคันตาร่า เลี้ยงบอลตัดเข้ากลางทำชิ่งกับ มอยเซ่ คีน ปาดออกมาทางขวาให้ อเลสซานโดร ฟลอเรนซี่ แตะบอลเข้าเขตโทษก่อนซัดเต็มเท้าแต่ถูก เบอนัวต์ กอสติล มือกาวทีมเยือนยืนบล็อกเอาไว้ได้

เปแอสเช เสมอ บอร์กโดซ์ 2-2 

ปารีสไล่ทันนาทีที่ 25 เนย์มาร์ ชอบทักษะความพริ้วลากบอลลุยเข้าเขตโทษ แตะหลบแนวรับทีมเยือนและถูก โอตาวิโอ แหย่เท้าเตะล้ม กรรมการปล่อยเกมไปก่อนวิ่งดูวีเออาร์ เป่าจุดโทษให้เปแอสเช เนย์มาร์ สังหารเข้าประตูตีเสมอให้เจ้าบ้าน

และแล้วนาทีที่ 28 เนย์มาร์ เลี้ยงบอลกลางสนามมาถึงหน้ากรอบเขตโทษ สับไกยิงจังหวะแรกถูกนายทวารทีมเยือนเซฟ บอลไม่ไปไหนเข้าทาง มอยเซ่ คีน ตามซ้ำตรงเขตโทษด้านขวาประมาณ 8 หลาเป็นสกอร์ ต่อมานาทีที่ 35 เพรสแนล คิมเปมเบ้ ดันสูงมาหน้ากรอบเขตโทษ แทงต่อไปที่ คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ ลองปั่นบอลจากเขตโทษด้านซ้าย บอลติดมือนายทวารบอร์กโดซ์ เปลี่ยนทางชนโคนเสาสองอย่างจัง จบ 45 นาทีแรก ปารีส แซงต์-แชร์กแมง นำอยู่ 2-1 ทีมเยือนเกือบตีเสมอนาทีที่ 47 ฮวัง อุย-โจ กระชากบอลมาทางริมเขตโทษทางซ้าย เอี่ยวตัวปั่นโค้ง ufabet369.info บอลเลี้ยวเข้าหากรอบแต่ เซร์คิโอ ริโก้ นายด่านปารีสยื่นมือปัดไว้เล็กน้อย บอร์กโดซ์เดินหน้าอีกนาทีที่ 51 ฮาเต็ม เบน อาร์กฟา เปิดลูกเตะมุมทางซ้าย บอลลอยมากลางเขตโทษ ปอล บายซ์เซ่ แนวรับทีมเยือนมาช่วยโหม่งบอลเต็มศีรษะทว่าบอลไม่ตรงกรอบออกข้างเสาไป

ปารีสเซ็งหนักนาทีที่ 60 ฮาเต็ม เบน อาร์กฟา เลี้ยงมาจี้มาทางกรอบเขตโทษด้านขวา ส่งย้อนให้ เรมี่ อูแด็ง ตัวสำรองทำท่าหลอกจะยิงแต่ปล่อยบอลกลิ้งไปที่ ยาซีน อัดลี่ บรรจงซัดนอกกรอบบอลหนีมือ เซร์คิโอ ริโก้ นายทวารเปแอสเช อย่างสวยงาม จบเกม เปแอสเช เสมอ บอร์กโดซ์ 2-2 สะดุดในลีกสองเกมติด ก่อนออกเยือน แมนยู ศึกชปล. 

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2563

7 ประเด็นร้อนก่อนเกมพรีเมียร์ลีก นัดที่ 10

เดินทางเข้าสู่เกมที่ 10 ของ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2020/21 สัปดาห์นี้มีหลายคู่ให้แฟนๆ ได้ติดตาม โดยจะมีอะไรน่าสนใจบ้าง ไปดูกันได้เลย

"ไบรท์ตัน-ลิเวอร์พูล" หลังจากบุกเอาชนะ แอสตัน วิลล่า 2-1 เมื่อเกมที่แล้ว ทำให้ ไบรท์ตัน มีสิทธิ์ลุ้นเอาชนะสองเกมติดในลีกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปี 2019 อย่างไรก็ตาม ชัยชนะที่เกิดขึ้นกับ "เดอะ ซีกัลส์" 4 เกมหลังสุด คือการเล่นเป็นทีมเยือน โดยที่พวกเขาเอาชนะคู่แข่งในบ้านตัวเองไม่ได้มาแล้วถึง 8 เกม ส่วน "มหาเทพ" แดนนี่ เวลเบ็ค ตั้งเป้าทำสกอร์สองเกมติดต่อกันในลีกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 2016 สมัยที่ยังเล่นให้กับ อาร์เซน่อล ลิเวอร์พูล ไม่ชนะเกมเยือนในลีกมาแล้ว 3 นัดติดต่อกัน (เสมอ 2 แพ้ 1) ซึ่งครั้งสุดท้ายที่ "หงส์แดง" ไม่ชนะนอกบ้าน 4 นัด ต้องย้อนไปเมื่อช่วงระหว่างเดือนมกราคม ถึงเดือนมีนาคม ปี 2017 ดีโอโก้ โชต้า ยังคลำเป้าเกมเยือนให้กับ ลิเวอร์พูล ไม่ได้ ทว่าเกมล่าสุดที่เขามาเยือนที่นี่คือการทำสองประตูตอนที่ยังอยู่กับ วูล์ฟแฮมป์ตัน

"แมนฯ ซิตี้ - เบิร์นลี่ย์" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีสถิติเจอกับ เบิร์นลี่ย์ ยอดเยี่ยมสุดๆ เมื่อ 6 เกมหลังในบ้านเอาชนะได้เรียบวุธ โดยที่ยิงสกอร์รวมกันถึง 24-2 และ 3 เกมหลังสกอร์จบที่ชัยชนะ 5-0 ซึ่งหากจบที่ผลการแข่งขันนี้อีก ก็จะทำให้เป็นครั้งแรกเป็นครั้งแรกของศึก พรีเมียร์ลีก ที่มีทีมทีมหนึ่งเอาชนะอีกทีมด้วยสกอร์เดียวกัน 4 นัดติดต่อกัน ริยาด มาห์เรซ ซัดประตูใส่ เบิร์นลี่ย์ 4 ประตูจาก 3 เกมที่เจอกัน ขณะที่ เซร์คิโอ อเกวโร่ ยิงได้ 9 ลูกจาก 9 เกมที่เจอ เบิร์นลี่ย์ ในทุกรายการ เบิร์นลี่ย์ มองหาชัยชนะ 2 นัดติดต่อกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน หลังเกมก่อนเอาชนะ คริสตัล พาเลซ มาได้ 8 นัดในลีกที่ผ่านมาของ เบิร์นลี่ย์ มีสกอร์เกิดขึ้นรวมกันแค่ 16 ลูกเท่านั้น (ยิง 4 เสีย 12) ซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยที่สุด โดยที่ไม่มีทีมไหนยิงได้น้อยกว่าพวกเขาอีกแล้ว "เอฟเวอร์ตัน-ลีดส์" เอฟเวอร์ตัน ไม่แพ้เกมในบ้านตัวเองเกม พรีเมียร์ลีก ต่อ ลีดส์ ยูไนเต็ด มาแล้ว 12 เกม โดยพวกเขาเก็บคลีนชีตได้ถึง 8 จาก 10 เกมหลัง โดมินิค คัลเวิร์ต-ลูวิน ผู้นำดาวซัลโวในตอนนี้ ซัดไปแล้ว 10 ลูกจากการลงเล่น 9 นัด thepixelbeard.com ซึ่งมีแค่ เลส เฟอร์ดินานด์ เท่านั้นที่ยิงได้มากกว่า 10 ประตูจาก 10 เกมแรกของฤดูกาล (13 ประตุ) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อฤดูกาล 1995/96 ชัยชนะหนสุดท้ายที่ "ยูงทอง" มีต่อ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" คือเกม ลีก คัพ เมื่อเดือนกันยายน ปี 2012 ด้วยสกอร์ 2-1 โดยเกมลีกนัดสุดท้ายที่เอาชนะได้ต้องย้อนไปถึงเดือนธันวาคม ปี 2001 และนับจากนั้นมีผลการแข่งขันคือ เสมอ 2 แพ้ 3 แพทริค แบมฟอร์ด มีสิทธิ์ทำสถิติเทียบเท่า เธียร์รี่ อองรี ที่ทำประตูเกมเยือนได้ทุกนัดใน 5 เกมแรกของซีซั่น

7 ประเด็นก่อนศึกพรีเมียร์    

"เซาธ์แฮมป์ตัน-แมนฯ ยูไนเต็ด" สำหรับเกมลีก เซาธ์แฮมป์ตัน เอาชนะในบ้านตัวเองมาแล้ว 3 นัดติดต่อกัน โดยเก็บชัยด้วยสกอร์ 2-0 ทุกนัด และการคว้าชัยในถิ่น เซนต์ แมรี่ส์ 4 เกมติดต้องเยือนไปเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2016 ทีมนักบุญ ไม่แพ้ใครในลีกมาแล้ว 7 เกม (ชนะ 5 เสมอ 2) ซึ่งมีแค่ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ เท่านั้นที่ไม่แพ้ใครยาวนานกว่า อีกทั้งสถิติไม่แพ้ใคร 8 นัดติดต่อกัน ครั้งสุดท้ายของ เซาธ์แฮมป์ตัน ต้องย้อนไปช่วงระหว่างเดือนกันยายน ถึงพฤศจิกายน ปี 2013 สมัยยุคของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ขณะที่ฝั่ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตั้งเป้าคว้าชัยเกมเยือน 8 นัดติดต่อกันบนลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ทุกชัยชนะของ "ปีศาจแดง" ใน พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้ 4 เกม ประตูชัยเกิดจาก บรูโน่ แฟร์นันด์ส คนเดียวเท่านั้น

"เชลซี-สเปอร์ส" นับตั้งแต่เริ่มต้นซีซั่น 2018/19 เชลซี เอาชนะเกม ลอนดอน ดาร์บี้ ในถิ่นตัวเอง 8 จาก 10 นัด แทมมี่ อับราฮัม ตั้งเป้าทำสกอร์ในลีก 3 นัดติดต่อกัน เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2019 โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ แพ้ทั้งสองเกมที่คุมทีมวัดฝีมือกับ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ของฝั่ง เชลซี เมื่อฤดูกาลก่อน อย่างไรก็ตาม เฮียมู ไม่เคยทำทีมแพ้ผู้จัดการทีมคนเดียวกันในลีก 3 เกมติดต่อกันเลยสักครั้ง สเปอร์ส จะเป็นทีมที่ 5 ที่สามารถเอาชนะเกมเยือน 5 นัดแรกได้ทุกนัด หากเก็บชัยชนะได้อีกในเกมนี้ ซึ่งทีมก่อนหน้ามี นิวคาสเซิล (1994/95), ชาร์ลตัน แอธเลติก (2005/06), เชลซี (2008/09) และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (2017/18) ที่เคยทำได้ "อาร์เซน่อล-วูล์ฟส์" อาร์เซน่อล แพ้แค่เกมเดียวต่อ วูล์ฟแฮมป์ตัน เท่านั้นใน 19 เกมบนลีกสูงสุดที่เจอกัน (ชนะ 13 เสมอ 5) โดยเกมเดียวที่แพ้เกิดขึ้นที่ โมลินิวซ์ เมื่อเดือนเมษายน ปี 2019 "เดอะ กันเนอร์ส" เก็บคลีนชีตในบ้านตัวเองไม่ได้มาแล้ว 7 เกมติดต่อกัน ซึ่งสถิตินี้นานสุดของพวกเขาคือ 9 นัดตอนช่วงระหว่างเดือนมกราคม ถึงเดือนสิงหาคม ปี 2017 วูล์ฟส์ เพิ่งเสียประตูไปเพียง 10 ลูกเท่านั้นในซีซั่นนี้ มีแค่ สเปอร์ส ทีมเดียวที่เสียประตูน้อยกว่าที่ 9 ประตู 3 เกมหลังสุดที่ วูล์ฟส์ บุกมาได้ผลสกอร์ 1-1 ที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ถึงตอนนี้พวกเขามองหาชัยชนะนัดแรกในรอบ 10 เกมกับการมาเยือนบ้านของ อาร์เซน่อล (เสมอ 4 แพ้ 5)

"เลสเตอร์-ฟูแล่ม" เบรนแดน ร็อดเจอร์ส มีสถิติสวยหรูยามเจอกับ ฟูแล่ม เมื่อสามารถคว้าชัยได้ทั้ง 7 นัดในยามที่พบกัน ซึ่งมีแค่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เท่านั้นที่มีสถิติดีกว่าในการเจอกับทีมใดทีมหนึ่งในศึก พรีเมียร์ลีก โดยกุนซือสแปนิช เอาชนะ บอร์นมัธ และ วัตฟอร์ด 8 ครั้งในทุกนัดที่เจอกัน เจมี่ วาร์ดี้ กองหน้าตัวเก๋าของ "เดอะ ฟ๊อกซ์" มีส่วนร่วมกับทั้ง 3 ประตูในนัดล่าสุดที่ทั้งสองทีมเจอกัน โดยยิงได้ 2 และแอสซิสต์ 1 ในเกมที่เอาชนะ 3-1 เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2019 ฟูแล่ม รักษาคลีนชีตได้ถึง 67% ในการเจอกับ เลสเตอร์ ในศึก พรีเมียร์ลีก โดยทำได้ 4 จาก 6 นัดหลังสุด ซึ่งมีแค่ ดาร์บี้ เคาตี้ ทีมเดียวที่ทำได้ดีกว่าที่ 75% ในการลงเล่นเกม พรีเมียร์ลีก มันเดย์ ไนท์ "เจ้าสัวน้อย" เอาชนะคู่แข่งได้ถึง 4 จาก 6 เกม ซึ่งชัยชนะนัดเดียวของซีซั่นนี้ ก็เกิดขึ้นในวันจันทร์ ที่เอาชนะ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน

แผงกลางลุ้น เฮนโด้, ติอาโก้!เจาะ 5 ประเด็นก่อน ลิเวอร์พูล เยือน ไบรท์ตัน

5 ประเด็น..หงส์ ฉะ ไบรท์ตัน

ลิเวอร์พูล มีคิวเยือน ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้น ในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งถือเป็นโอกาสดีที่ "หงส์แดง" จะได้แก้ตัวจากการพ่ายแพ้ อตาลันต้า เมื่อกลางสัปดาห์ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม ดี แมตช์นี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังคงต้องลุ้นสภาพความฟิตของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กับ ติอาโก้ อัลกันตาร่า ในขณะที่ตำแหน่งแบ็กขวาอาจจะต้องใช้งาน เนโก วิลเลี่ยมส์ เนื่องจาก เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ยังมีสภาพร่างกายไม่พอสำหรับเกมที่สนาม ดิ เอเม็กซ์ คอมมิวนิตี้ สเตเดี้ยม ขณะเดียวกเกมนี้ อดัม ลัลลาน่า จะได้มีโอกาสเจอทีมเก่าเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่อำลาสโมสรในช่วงตลาดพ่อค้าแข้งรอบ 2 เมื่อซัมเมอร์นี้ ฉะนั้นสาวก "เดอะ ค็อป" คงคาดหวังว่า "ลัลล้า" จะไม่ใช้กฎยิงประตูทีมเก่า ทำร้ายสโมสรที่ทำให้เขาได้เหรียญแชมป์พรีเมียร์ลีกนะ !!!

1. ลุ้นกัปตันเฮนโด้, ติอาโก้ คืนทัพใหญ่ สิ่งที่ คล็อปป์ ต้องกังวลมากๆ ในเวลานี้ก็คือแผงกองกลางเพราะในแมตช์กลางสัปดาห์ที่แพ้ อตาลันต้า ผู้เล่นมิดฟิลด์ทั้ง เจมส์ มิลเนอร์, จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม และ เคอร์ติช โจนส์ สู้ความแข็งแกร่งและรวดเร็วของมิดฟิลด์อตาลันต้า ไม่ได้เลย ฉะนั้นนี่จึงเป็นการบ้านที่นายใหญ่ชาวเยอรมันต้องรีบแก้ไขโดยด่วน แม้ผู้เล่นของ ไบรท์ตัน ชื่อชั้นอาจจะไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก แต่พวกเขาเป็นทีมที่เล่นด้วยระเบียบวินัย และค่อยช่วยเหลือกันและกัน ฉะนั้น คล็อปป์ จะต้องแก้ปัญหาตรงจุดนี้ให้ได้ แต่หาก "หงส์แดง" มี จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กับ ติอาโก้ อัลกันตาร่า ลงสนามพร้อมกัน ปัญหานี้อาจจะทุเลาเบาบางลง เพราะจะว่าไปแล้ว มิลเนอร์ กับ ไวจ์นัลดุม กรำศึกหนักจนสภาพร่างกายเริ่มอ่อนล้า ขณะที่ โจนส์ ทำผลงานไม่คงเส้นคงวา โดยเฉพาะในเกมรับมือกับทีมดังเมืองแบร์กาโม่ ดังนั้น คล็อปป์ จึงอยากได้ "เฮนโด้" กับ ติอาโก้ มาช่วยบัญชาเกมมากๆ ขณะที่ นาบี เกอิต้า ยังลุ้นเรื่องความฟิตต่อไป อย่าลืมว่า ไบรท์ตัน มี อดัม ลัลลาน่า ซึ่งเป็นอดีตผู้เล่นสำคัญของ "หงส์แดง" มานานหลายปี ฉะนั้นเขาย่อมรู้ไส้รู้พุงแนวทางการเล่นทีมเก่า ที่สำคัญแผงมิดฟิลด์ในชุดปัจจุบัน ลัลลาน่า ก็เคยมีโอกาสได้เล่นร่วมกันมาแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เจ้าตัวจะอ่านทางเพื่อนเก่าได้ 2. ได้เวลา 4 มหัศจรรย์ประสานงานอีกครั้ง แม้ว่าเกม "นกนางนวล" พวกเขาอาจจะมีฟอร์มที่ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก แต่สำหรับ คล็อปป์ เกมเยือนยังไงก็ต้องเน้นทุกจังหวะ ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะจัดผู้เล่นชุดที่ดุดันที่สุดเพื่อหวังจะเก็บ 3 คะแนนให้ได้ และแซงหน้า สเปอร์ส ขึ้นไปเป็นจ่าฝูงชั่วคราว ฉะนั้นแมตช์นี้สาวก "เดอะ ค็อป" คงจะได้เห็น 4 มหัศจรรย์ทั้ง ซาดิโอ มาเน่, โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ ดีโอโก้ โชต้า ลงสนามพร้อมกัน แต่ คล็อปป์ จะจับให้ทั้ง 4 คนยืนตรงไหนนี่เป็นประเด็นที่น่าคิดจริงๆ เพราะหากตัด ฟีร์มีโน่ ออกไปทั้ง 3 คนที่เหลือฟอร์มฮอตมากๆ แต่หากมองจากผลงาน ณ เวลานี้ โชต้า ถือว่ากำลังฟอร์มเข้าฝักที่สุด จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ นายใหญ่เลือดด๊อยท์ช จะเลือกให้โอกาสเขาทำหน้าที่เป็นหน้าเป้า เพราะผลงานตะบันไปแล้ว 8 ประตูจาก 13 เกม thehotspotonline.com โดยเป็นการยิงในพรีเมียร์ลีก 4 ประตูใน 7 เกม ขณะที่ "โมซาลาห์" กับ มาเน่ ยังคงทำหน้าที่เป็นแนวรุกริมเส้น เพราะความรวดเร็ว และความคล่องตัวของเขาน่าจะจัดการปั่นป่วนแนวรับเจ้าบ้านได้ไม่ยาก ส่วน ฟีร์มีโน่ ถึงจะมีปัญหาเรื่องการยิงประตูแต่ทักษะชั้นยอดของเขาเหมาะอย่างยิ่งที่จะยืนหน้าต่ำคอยป้อนบอลให้แนวรุกเผด็จศึก

5 ประเด็นก่อน ลิเวอร์พูล เยือน ไบรท์ตัน

3. แบ็กโฟร์พิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง แน่นอนว่าแผงแบ็กโฟร์ของ "เดอะ เร้ดส์" ในเวลานี้ยังขาดความแน่นอนเนื่องจากปัญหาบาดเจ็บที่ผ่านมาทำให้พวกเขายังไม่สามารถจัดเกมรับได้แข็งแกร่งเหมือนกับเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ที่เล่นเกมรับได้อย่างเหนียวแน่น จนช่วยให้ทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครอบครองได้สำเร็จ การขาด เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ กับ โจ โกเมซ ไปนานหลายเดือนเป็นเรื่องที่เสียหายสุดๆ แม้จะมี โฌแอล มาติป คอยทำหน้าที่ประคับประครองเกมรับแต่เขาก็ยังขาดคู่หูเซนเตอร์แบ็กที่รู้ใจ โดยในเวลานี้ทำได้เพียงแค่ต้องรับผิดชอบเกมรับร่วมกับ ฟาบินโญ่ กองหลังจำเป็น แม้ช่วงที่ผ่านมาทั้งสองคนจะทำหน้าที่ได้ดี แต่ก็ยังไม่มีอะไรการันตีว่าพวกเขาจะสามารถรักษาสภาพความฟิตเอาไว้ได้ตลอดรอดฝั่งกับสถานการณ์ที่ต้องลงเล่นแบบ 3 วันต่อเกม แน่นอนว่าย่อมมีความเสี่ยงสูงที่จะโดนปัญหาบาดเจ็บพรากไปจากสนามแข่งอีกครั้ง

ในส่วนของฟูลแบ็กมองไปทางซ้าย แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ยังคงเป็นนักเตะที่ คล็อปป์ ขาดไม่ได้จริง ฟอร์มการเล่นแบบไม่รู้จักคำว่าเหนื่อยคือสิ่งที่เจ้าตัวแสดงให้เห็นมาตลอด โดยเฉพาะในเกมแพ้ อตาลันต้า การที่ไม่มีสตาร์ชาวสกอตติช ลงเล่นตัวจริง เกมทางริมเส้นฝั่งซ้ายไร้ประสิทธิภาพสิ้นดี ที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือแบ็กขวา เพราะ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ยังมีปัญหาบาดเจ็บน่อง ไม่น่าจะฟิตทันช่วยทีมได้ ฉะนั้น คล็อปป์ คงเลือกใช้งาน เนโก วิลเลี่ยมส์ ลงเล่น แต่ก็อาจจะมีออปชั่นพิเศษด้วยการใส่ชื่อ มิลเนอร์ ทำหน้าที่แทน แต่ต้องในกรณีที่ เฮนเดอร์สัน หรือ ติอาโก้  หรือทั้งสองคนฟิตสมบูรณ์ มิเช่นนั้น คล็อปป์ ไม่มีทางจับแข้งจอมเก๋ามายืนเป็นฟูลแบ็กแน่นอน 4. เกมที่ 100 ของ อลีสซง จะสวยงามหรือช้ำใจ เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกินสำหรับ อลีสซง เบ็คเกอร์ เพราะนับตั้งแต่ย้ายจาก โรม่า มาเฝ้าเสาในถิ่นแอนฟิลด์ เมื่อปี 2018 ผลงานของเขาทำให้แฟนบอลลิเวอร์พูล รู้สึกอุ่นใจมากๆ เพราะก่อนหน้าที่ นายด่านชาวบราซิเลียน จะมาเล่นให้ "หงส์แดง" นายทวารไม่รู้กี่คนต่อกี่คนทำให้สาวก "เดอะ ค็อป" ต้องหวาดเสียวเป็นประจำ สำหรับแมตช์เยือน ไบรท์ตัน จะเป็นการทำหน้าที่นายด่านปราการสุดท้ายให้กับ ลิเวอร์พูล เป็นเกมที่ 100 พอดิบพอดี ฉะนั้นถือว่าเป็นแมตช์ที่มีความหมายสำหรับเจ้าตัวอย่างมาก และยังเป็นการแสดงให้เห็นว่า อลีสซง คือหนึ่งในผู้เล่นคีย์แมนที่มีผลต่อฟอร์มการเล่นของ "เดอะ เร้ดส์" ด้วย มีหลายเกมที่ ลิเวอร์พูล ขาด โกลทีมชาติบราซิล ทำหน้าที่เฝ้าเสา ทีมมักจะระส่ำ โดยเฉพาะการที่ทีมต้องใช้งาน อาเดรียน ยืนอยู่หน้ากรอบประตู มีหลายจังหวะที่แฟนบอลต้องใจหายใจคว่ำทุกครั้งที่คู่แข่งเปิดเกมบุกเข้ามาป่วนเปี้ยนบริเวณเขตโทษ ฉะนั้นในเกมที่ 100 แน่นอนว่า อลีสซง คงอยากได้ผลการแข่งขันที่สวยหรู เพื่อเป็นแรงกระตุ้นสำหรับการเดินหน้าเฝ้าเสาให้กับทีมต่อไปเรื่อยๆ ในอนาคต 5.  เรียกสติกลับสู่โลกพรีเมียร์ลีก หลายคนอาจมองว่า ลิเวอร์พูล อาจจะมีอาการล้าเนื่องจากเพิ่งจะกรำศึกหนักในแมตช์กลางสัปดาห์ที่แพ้ อตาลันต้า ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก คาถิ่นแอนฟิลด์ แต่สำหรับสาวก "เดอะ ค็อป" และนักเตะ "หงส์แดง" มองว่านี่คือโอกาสดีที่จะได้แก้ตัว และเรียกสติกลับมาอีกครั้ง ความพ่ายแพ้ต่อ อตาลันต้า ทำหน้า "เดอะ เร้ดส์" เสียศูนย์กันไปพอสมควร และอาจจะเกิดเอฟเฟกต์ลามไปยังเกมลีกที่ต้องเยือน "เดอะ ซีกัลล์ส" ก็ได้ แต่งานนี้คาดว่าบรรดาลูกทีมของกุนซือเจอร์เก้น คล็อปป์ คงอยากจะแก้ตัวจากการพ่ายแพ้อย่างน่าเจ็บปวดในเกมกลางสัปดาห์ เพื่อเรียกความมั่นใจและศรัทธากลับคืนจากแฟนบอลอีกครั้ง

ที่สำคัญยังเป็นการเรียกสติ และความเชื่อมั่นให้พร้อมสำหรับศึกแชมเปี้ยนส์ ลีก ต้อนรับการมาเยือนของ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ที่สนามแอนฟิลด์ ในศึกถ้วยใบโตยุโรป วันอังคารหน้า ซึ่งมีความหมายมากๆ เพราะพวกเขาต้องการชัยชนะแค่ 1 เกมจาก 2 แมตช์ในรอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม ดี ก็จะการันตีการผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ ฉะนั้นหาก "หงส์แดง" สามารถบุกไปเก็บ 3 แต้มได้ ความฮึกเหิมและกำลังใจของพวกเขาจะกลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลดีสำหรับแมตช์ต่อๆ โดยเฉพาะเกมลีกที่จะรับมือวูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ในวันอาทิตย์ที่ 6 ธ.ค. ที่พวกเขาจะได้มอบของขวัญชิ้นโบว์แดงให้แฟนบอล เพื่อเป็นการต้อนรับการกลับมาชมเกมในสนามเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 8 เดือน 




 


ราฟินญ่าซัดชัย! ลีดส์บุกเชือดเอฟเวอร์ตันสุดมัน เฮแรกในรอบ4เกม

ลีดส์ v เอฟเวอร์ตัน

"ยูงทอง" เก็บสามแต้มกลับบ้านจนได้ หลังบุกไปเอาชนะเจ้าถิ่น เอฟเวอร์ตัน 1-0 จากประตูชัยของ ราฟินญ่า แข้งบราซิเลี่ยนในช่วงท้ายเกม โดยเกมนี้ทั้งคู่แลกกันสนุกโอกาสยิงเกือบ 40 ครั้ง ก่อนที่ ลีดส์ จะคว้าชัยแรกในรอบ 4 เกมขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 11 ส่วน "ทอฟฟี่" แพ้ 4 นัดในรอบ 5 เกม อยู่อันดับ 6 เหมือนเดิม ในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันเสาร์ที่ผ่านมา

เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เอฟเวอร์ตัน ทีมอันดับ 6 รับมือการมาเยือนของน้องใหม่ ลีดส์ ยูไนเต็ด ทีมอันดับ 15 โดยผลงานในลีกที่ผ่านมาของทั้งคู่ "ทอฟฟี่" บุกไปเอาชนะ ฟูแล่ม 3-2 ส่วน "ยูงทอง" เสมอกับ อาร์เซน่อลในบ้าน 0-0 ออกสตาร์ทเกมมาไม่ถึง 7 นาที "ทอฟฟี่" เกือบได้ลุ้นขึ้นนำหลัง ฮาเมส โรดริเกซ จ่ายเร็วให้ คัลเวิร์ท-เลวิน แทงบอลเร็วถึงเส้นหลังให้ ทอม เดวิส ปาดมาหน้ากรอบให้ อับดูลาย ดูกูเร่ ล้มตัวยิงแต่บอลไปตรงตัว อิลล็อง เมส์ลิเย่ร์ พุ่งปัดออกมาหวุดหวิด แต่ในนาทีที่ 10 "ยูงทอง" สวนขึ้นมาเกือบได้ประตูเช่นกัน หลัง ราฟินญ่า กระชากบอลจากแดนกลางขึ้นมาหน้ากรอบของทอฟฟี่ ก่อนจะไหลนิ่มๆให้ แจ็ค แฮร์ริสัน หลุดเข้าไปยิงแต่โดน พิคฟอร์ด ออกมาปิดมุมทำให้ยิงหลุดกรอบออกไปอย่างน่าผิดหวัง บอลแลกกันสนุก นาทีที่ 12 ริชาร์ลิซอน แต่งเข้าขวาก่อนซัดบนเส้น 18 หลาแต่บอลเบาไปตรงตัว เมส์ลิเย่ร์ ถัดมาอีกนาทีทีมเยือนตอบโต้มาเร็ว คราวนี้ คัลวิน ฟิลลิปส์ วิ่งมาซัดไม่จับนอกกรอบแต่บอลไปแฉลบแข้งทอฟฟี่ก่อนไปเข้ามือ จอร์แดนพิคฟอร์ด นาที 21 "ยูงทอง" ลุยมาอีกที มาเตอุสซ์ คลิช เก็บตกในกรอบก่อนยิงเฉือนๆไม่เต็มใบบอลไปเข้าทาง  แพทริค แบมฟอร์ด ซัดด้วยซ้ายไม่ถึง 10 หลา แต่ยังไปติดขาของ พิคฟอร์ด เซฟไว้ได้อย่างเหลือเชื่อ นาที 24 ริชาร์ลิซอน เปิดบอลไปเสาไกลให้ ฮาเมส โรดริเกซ พักอกลงอย่างเหนือชั้นก่อนจะซัดมุมแคบผ่าน เมส์ลิเย่ร์ เข้าไป ทว่าผู้ตัดสินเป่าเป็นล้ำหน้าของ ฮาเมส ไปก่อนทำให้ชวดได้ประตูขึ้นนำอย่างน่าเสียดาย นาที 29 ลูกทีมของ บิเอลซ่า ชวดได้ประตูนำอีกครั้ง หลัง ลุค อายลิ่ง ครอสมาเสาสองให้ ราฟินญ่า โขกย้อนไปเสาแรกบอลจะเข้าอยู่แล้วแต่ จอร์แดน พิคฟอร์ด ยังโชว์ซูเปอร์เซฟกระโดดปัดปลายมือ บอลยังไม่พ้นอันตราย ลุค อายลิ่ง เก็บบอลได้แล้วจ่ายให้ แจ็ค แฮร์ริสัน ยิงผ่านแนวรับจะข้ามเส้นอยู่แล้วแต่ เบน ก็อดฟรีย์ ยังล้มตัวสกัดออกไปแบบฉิวเฉียด นาที 39 ฮาเมส โรดริเกซ เรียกฟรีคิกได้ก่อนเจ้าตัวจะลุกมาเปิดไปเสาไกลให้ ริชาร์ลิซอน ซัดด้วยขวาแต่ยังไปติดเซฟของ อิลล็อง เมส์ลิเย่ร์ 

ลีดส์ บุกมาเฉือนเอาชนะ เอฟเวอร์ตัน หวุดหวิด 1-0

นาที 42 ทอม เดวิส เลี้ยงตะลุยมาก่อนฝากให้ คัลเวิร์ต-เลวิน แตะคืนให้ ริชาร์ลิซอน วิ่งมาตะบันด้วยขวาไม่จับบอลพุ่งจะเสียบเสาแต่ยังโดน เมส์ลิเย่ร์ พุ่งปัดออกหลัง และจากลูกเตะมุมต่อมา ฮาเมส โรดริเกซ เปิดเตะมุมไปให้ ริชาร์ลิซอน โขกเบียดเสาเข้าไป ทว่าผู้ตัดสินเป่าไม่ให้ประตูหลัง เบน ก็อดฟรีย์ ที่อยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าไปมีส่วนร่วมกับประตูทำให้ชวดได้ประตูอีก

นาทีสุดท้ายครึ่งแรก "ยูงทอง" ชวดได้ประตูบ้างหลัง สจ๊วร์ต ดัลลัส เปิดมาให้ แจ็ค แฮร์ริสัน เทกตัวโขกบอลไปชนเสา จบครึ่งแรก ยังไม่มีประตู เอฟเวอร์ตัน เสมอกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด 0-0 ครึ่งหลัง เริ่มมาแค่ นาที 46  โดมินิค คัลเวิร์ท-เลวิน ได้บอลหลุดเข้าไปซัดมุมแคบแต่ยังไปติดเซฟของนายด่านยูงทอง จากนั้น เลวิน ได้โอกาสอีกหลังบอลสวนกลับของ "ทอฟฟี่" ริชาร์ลิซอน วางบอลยาวมาให้ คัลเวิร์ท-เลวิน กระชากเดี่ยวๆเข้าไปในกรอบแต่จังหวะยิงด้วยขวาบดไปก่อนผ่านหน้าประตูออกหลังอย่างน่าผิดหวัง นาที 51 เจ้าบ้านเกือบได้ส้มหล่น หลัง อิลล็อง เมส์ลิเย่ร์ นายด่านของทีมเยือนออกบอลพลาดไปติด ฮาเมส โรดริเกซ ก่อนที่เพลย์เมกเกอร์ชาวโคลอมเบียจะชิพตรงกรอบแต่น้ำหนักบอลเบาไป ก่อนที่ เมส์ลิเย่ร์ จะถอยกลับไปรับไว้ได้ทัน นาที 59 แจ็ค แฮร์ริสัน ได้ซัดนอกกรอบเต็มแรงแต่ยังดีบอลพุ่งไปตรงตัว พิคฟอร์ด ไม่ถึงนาทีถัดมา "ทอฟฟี่" ได้ลุ้นอีก คราวนี้ อัลลัน โชว์เลี้ยงบอลจากแดนตัวเองกระชากหนีแข้งทีมเยือน 3-4 ราย ก่อนหลุดเข้าไปซัดแฉลบ โรบิน ค็อค เบียดเสาแรก ufabet369s.com นาที 66 เอ็กซิยาน อลิออสกี้ ลุ้นไปถึงเส้นหลังครอสมาเสาไกลให้ ราฟินญ่า ปาดมาหน้ากรอบให้ แพทริค แบมฟอร์ด ยิงโล่งๆเข้าไป ทว่าไลน์แมนยกธงเป็นจังหวะล้ำหน้าของ อลิออสกี้ ไปก่อนทำให้ชวดได้ประตูอย่างน่าเสียดาย เกมยังเปิดแลกกันมันส์ นาที 69 โดมินิค คัลเวิร์ท-เลวิน แตะคืนหลังให้ ฮาเมส โรดริเกซ แต่งบอลก่อนดึงเข้าซ้ายซัดนอกกรอบไปตรงตัว  เมส์ลิเย่ร์ แม้จะรับหลุดมือแต่ตามตะครุบไว้ได้ทัน

แต่สุดท้าย นาที 79 "ยูงทอง" มาพังประตูขึ้นนำเจ้าถิ่น 1-0 จนได้ จากจังหวะที่แจ็ค แฮร์ริสันจ่ายเข้ากลางให้ ราฟินญ่า ตะบันด้วยซ้ายลอดขา  เบน ก็อดฟรีย์ หนีมือจอร์แดน พิคฟอร์ดเข้าไปอย่างเฉียบขาด จบเกม ลีดส์ บุกมาเฉือนเอาชนะ เอฟเวอร์ตัน หวุดหวิด 1-0 ส่งผลให้ "ยูงทอง" มีเพิ่มเป็น 14 คะแนนเท่ากับ นิวคาสเซิ่ล, วูล์ฟแฮมป์ตัน และเวสต์แฮม แต่ลูกได้เสียเป็นรอง "หมาป่า" และ"ขุนค้อน" ส่วนฝั่ง "ทอฟฟี่" ชวดโอกาสขึ้นอันดับ 3 หลังแพ้เป็นที่ 4 ในลีก มี 16 คะแนน อยู่อันดับ 6 เหมือนเดิม



ผีลุ้นขึ้นที่6! 7 ประเด็นก่อนเกมแมนยูบุกรังเซาธ์แฮมป์ตัน

คืนนี้ "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เจออีกหนึ่งบททดสอบสำคัญ ในศึก พรีเมียร์ลีก "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีคิวบ...