วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2563

ผีลุ้นขึ้นที่6! 7 ประเด็นก่อนเกมแมนยูบุกรังเซาธ์แฮมป์ตัน

คืนนี้ "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เจออีกหนึ่งบททดสอบสำคัญ

ในศึก พรีเมียร์ลีก "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีคิวบุกไปเยือนทีมแกร่งอย่าง เซาธ์แฮมป์ตัน ซึ่งถือเป็นเกมที่น่าสนใจทีเดียว เนื่องจากทีมของกุนซือ โอเล่ กุนนาร์ โชลชา ก็ฟอร์มดุเหลือเกินยามเล่นนอกบ้าน ส่วน "นักบุญ" ก็มาดีมากๆ ในซีซั่นนี้ และนี่คือ 7 ประเด็นที่น่าสนใจก่อนเกมที่สังเวียนแข้ง เซนต์ แมรี่ส์ สเตเดี้ยม  

ผีสถิติข่ม แต่... เซาธ์แฮมป์ตัน ไม่สามารถเอาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้เลย จากการเจอกัน 8 ครั้งหลังสุดในศึก พรีเมียร์ลีก (เสมอ 5, แพ้ 3) อย่างไรก็ตาม 4 จาก 5 ครั้งหลังสุดที่ดวลกัน จบลงด้วยการเสมอ ซึ่งก็รวมถึงสองเกมในฤดูกาลที่แล้ว (1-1 และ 2-2) เซาธ์ฯ โคตรแกร่ง ไม่แพ้ใครตั้งแต่ก.ย. นอกจากมักจะทำผลงานได้ดีในระยะหลังที่เจอกับ แมนฯ ยูไนเต็ด แล้ว ฤดูกาลนี้ทีม "นักบุญ" ของกุนซือ ราล์ฟ ฮาเซนฮุทเทิ่ล ยังทำผลงานได้ดีเกิดคาดด้วย โดยปัจจุบันรั้งอันดับ 5 ในตารางคะแนน พรีเมียร์ลีก แถม 7 เกมหลังสุด พวกเขาสะกดคำว่า "แพ้" ไม่เป็น ที่สำคัญเป็นการชนะถึง 5 นัดด้วย (เสมอ 2) โดยครั้งล่าสุดที่แพ้คือเกมเปิดบ้านพ่าย ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 2-5 เมื่อวันที่ 20 กันยายน เช "นักบุญ" อันตราย ถึงแม้ แดนนี่ อิงส์ ดาวยิงคนสำคัญ ยังไม่พร้อมลงเล่นเกมนี้ แต่ เซาธ์แฮมป์ตัน ยังมี เช อดัมส์ เป็นตัวอันตรายในแนวรุก ซึ่งแผงหลัง "ปีศาจแดง" จะประมาทไม่ได้เลย เพราะเกมลีก 9 นัดที่ลงเล่นในฤดูกาลนี้ เจ้าตัวมีส่วนช่วยทีมได้ประตูถึง 6 ลูก (ยิง 3, แอสซิสต์ 3) เลยทีเดียว และอาจจะมีอีกก็ได้ในเกมคืนนี้  

7 ประเด็น..ผีบุกถิ่นนักบุญ

แมนฯ ยูไนเต็ด ลุ้นสร้างสถิติ!!! อย่างที่รู้ๆ กันว่า ช่วงนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด เหมือนชอบเตะเกมนอกบ้านมากกว่าในบ้านตัวเอง ซึ่งถ้านับรวมจากฤดูกาลที่แล้ว พวกเขาคว้าชัยชนะเกมเยือนในศึก พรีเมียร์ลีก มาแล้ว 7 นัดติด และถ้าทำได้อีกในเกมนี้ ก็จะถือเป็นสถิติใหม่ของสโมสร เพราะก่อนหน้านี้ "ปีศาจแดง" ไม่เคยเฮนอกบ้าน 8 นัดติดในลีกสูงสุดเมืองผู้ดี 

ฟาน เดอ เบ็ค สตาร์ทตัวจริง? ด้วยการที่ ปอล ป็อกบา และ สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ ต่างมีปัญหาเรื่องความฟิต และไม่น่าจะมีชื่ออยู่ในทีมสำหรับเกมนี้ ดังนั้นจึงมีโอกาสสูงมากๆ ที่ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค กองกลางชาวดัตช์ จะได้รับโอกาสตาร์ทเป็นตัวจริง ซึ่งนั่นจะเป็นการได้ลงเล่นตัวจริงครั้งในศึก พรีเมียร์ลีก ของเจ้าตัวด้วย เพราะ 6 นัดก่อนหน้านี้ เป็นการลงสนามในฐานะตัวสำรองทั้งหมด มาร์กซิยาล ยังไร้สกอร์ในเกมลีก ฤดูกาลนี้ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล หัวหอกเฟร้นช์แมนของ "ปีศาจแดง" ฟอร์มตกอย่างน่าใจหาย เมื่อเทียบกับฤดูกาลที่แล้ว toollanyardsbagsandbelts.com เพราะจนถึงตอนนี้เจ้าตัวยังทำประตูเกมลีกไม่ได้เลย จากการลงเล่น 5 นัด และถ้านับรวมจากซีซั่นก่อนด้วย เจ้าตัวไร้สกอร์ในลีกมา 7 นัดติดเข้าไปแล้ว แต่เกมนี้เจ้าตัวอาจจะเปิดซิงลูกแรกก็ได้ ใครจะไปรู้ (ถ้าได้ลงเล่นนะ)

"ปีศาจแดง" พุ่งขึ้นที่ 6 ถ้า... ฤดูกาลนี้แต่ละทีมมีคะแนนเบียดกันเหลือเกิน ดังนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด จึงมีโอกาสกระโดดจากอันดับ 13 ขึ้นไปอยู่ที่ 6 เลยทีเดียว หากเกมนี้ชนะ "นักบุญ" อย่างน้อย 4 ประตู ซึ่งเงื่อนไขที่ว่าอาจจะดูยากไปหน่อย แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกมยากๆ แบบนี้ โซลชา มักจะทำได้เหนือกว่าที่คาด

ซีดานหงอย! มาดริดห่วยพ่ายอลาเบสคาบ้านไร้ชัย3นัดติด

เรอัล มาดริด vs อลาเบส 

"ราชันชุดขาว" เสียหายหนักหลังเปิดบ้านพ่าย อลาเบส 1-2 จากความผิดพลาดของ นาโช่ เฟร์นานเดซ และ ติโบต์ กูร์กตัวส์ บวกสถิติไร้ชัยในเกมลีก 3 นัดติดต่อกันมี 17 คะแนนจากการลงสนาม 10 นัดรั้งอันดับ 4 ของตาราง ในศึกฟุตบอลลา ลีกา สเปน คืนวันเสาร์ที่ผ่านมา

เรอัล มาดริด ไม่ชนะใครในเกมลีกมา 2 นัดติดต่อกัน โดยนัดล่าสุดบุกไปแชร์แต้มกับ บียาร์เรอัล 1-1 ทำให้เจ้าบ้านรั้งอันดับที่ 4 ของตารางคะแนนในเวลานี้ ส่วนผลงานในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกรอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม บี นัดที่แล้วคว้าชัยเหนือ อินเตอร์ มิลาน 2-0 ส่วนทาง อลาเบส เปิดบ้านเสมอกับ บาเลนเซีย 2-2 ในเกมลีกนัดล่าสุด ทำให้ทีมเยือนไร้ชัยมา 3 นัดรวด โดยรั้งอันดับที่ 15 ของตารางคะแนนในเวลานี้ 5 นาทีผ่านกลายเป็น อลาเบส ทะยานออกนำจากลูกเตะมุมทางฝั่งขวาโยนมาเสาไกลให้ บิคตอร์ ลากวาร์เดีย โขกเข้าในไปติดมือ นาโช่ เฟร์นานเดซ ผู้ตัดสิน ชี้เป็นจุดโทษทันทีและเป็น ลูกัส เปเรซ รับหน้าที่สังหารเข้าไป โอกาสลุ้นครั้งแรกของ "ราชันชุดขาว" ต้องรอถึงนาทีที่ 15 จากลูกเตะมุมทางขวาของ โทนี่ โครส ปั่นเข้าเขตโทษมาตกใส่หัว มาเรียโน่ ดิอ๊าซ ขึ้นโขกเต็มแรงแต่บอลตรงตัว ดาเนี่ยล ปาเชโก้ 5 นาทีต่อมา เจ้าถิ่น พลาดโอกาสทองเป็น เอแดน อาซาร์ ไปฉกบอลจาก โรดรีโก้ บัตตาย่า พาแหวกขึ้นมาได้ช่องหวดด้วยขวาไปตรงตัว ดาเนี่ยล ปาเชโก้ ก่อนจังหวะต่อเนื่องโดน รูเบน ดูอาร์เต้ three4design.com หวดล้มลงไปแต่ไม่ได้จุดโทษ นาทีที่ 24 อลาเบส มาพลาดคืนบ้างจากลูกสวนกลับ โฆต้า เปเลเตยโร่ วางบอลข้ามให้ ลูกัส เปเรซ หลุดกับดักล้ำหน้าพาจี้เข้าเขตโทษแต่จังหวะยกบอลไปติดมือ ติโบต์ กูร์กตัวส์ เซฟไว้ได้เหลือเชื่อ

เรอัล มาดริด 1 อลาเบส 2 

ก่อนหมดครึ่งแรก 15 นาที "ราชันชุดขาว" ต้องมาเสีย เอแดน อาซาร์ บาดเจ็บไม่สามารถเล่นต่อได้ ซีเนดีน ซีดาน ต้องส่ง โรดริโก้ โกเอส ลงสนามแทน นาทีที่ 39 จากความผิดพลาดของแนวรับ อลาเบส โดน มาเรียโน่ ดิอ๊าซ ฉกบอลได้หน้าเขตโทษก่อนเป็น โทนี่ โครส ก้มหน้าซัดเลือกเสาไกลแต่ยังติดขา ดาเนี่ยล ปาเชโก้ เด้งมาเข้าทางตามน้ำอีกทีก็ยังไม่ผ่านมือ ปาเชโก้ เหมือนเดิม

หลังจากนั้น เจ้าถิ่น โหมหนักจากบอลครอสทางฝั่งขวา มาเรียโน่ ดิอ๊าซ หาช่องขึ้นโขกได้ 2 ครั้งแต่ก็ยังไม่ดีพอเบิกสกอร์ตีเสมอ หมดครึ่งเวลาแรก เรอัล มาดริด 0 อลาเบส 1 เปิดฉากครึ่งหลัง 4 นาที อลาเบส ทิ้งห่างออกไปจากความผิดพลาดของ ติโบต์ กูร์กตัวส์ โดน ลูกัส เปเรซ วิ่งกดดันออกบอลไม่ดีไปเข้าเท้า โฆเซลู อ่านเกมโฉบมาตัดก่อนยิงเร็วเข้าไปไม่เหลือ นาทีที่ 54 เจ้าถิ่น เกือบตีไข่แตกจากบอลทางขวาของ โรดริโก้ โกเอส จ่ายบอลแฉลบแนวรับ อลาเบส มาเข้าทาง โทนี่ โครส อัดด้วยขวาหน้าหัวกะโหลกติดเซฟ ดาเนี่ยล ปาเชโก้ ต่อมานาทีที่ 63 อลาเบส หวิดปิดกล่องจากบอลสวนกลับ ฟลอเรียง เลอเณิน ยกบอลข้ามแนวรับให้ ลูกัส เปเรซ หลุดเดี่ยวขึ้นมาดึงบอลหลบ ราฟาแอล วาราน ซัดด้วยซ้ายติดปลายมือ ติโบต์ กูร์กตัวส์ 5 นาทีต่อมา ทีมเยือน ได้ลุ้นอีกรอบคราวนี้เป็นบอลจากหน้าปากประตูตัวเองทิ้งยาวให้ ลูกัส เปเรซ ใช้ความเร็วหนีขึ้นมาก่อนตั้งให้ โฆเซลู สอดมาตะบันเฉี่ยวสามเหลี่ยมออกไปนิดเดียว นาทีที่ 73 เรอัล มาดริด เร่งเครื่อง ลูคัส บาสเกซ พาบอลแหวกเข้าในป้ายต่อให้ อีสโก้ แทงเร็วถึง โรดริโก้  ได้ช่องซัดด้วยขวาลอดแนวรับ อลาเบส หลุดออกไปเหมือนเดิม "ราชันชุดขาว" ได้ลุ้นอีกครั้งจากลูกโขกของ มาเรียโน่ ดิอ๊าซ หนีมาเสาไกลโหม่งบอลสวนตัว ดาเนี่ยล ปาเชโก้ กำลังจะข้ามเส้นแต่มาโดน ฟลอเรียง เลอเณิน สกัดทิ้งออกมาหวุดหวิด

สุดท้ายนาทีที่ 87 เจ้าถิ่นตีไข่แตกสำเร็จจากลูกเตะมุม ราฟาแอล วาราน โขกบอลมาเสาไกลถึง เวนิซิอุส จูเนียร์ ทิ้งตัวยิงไปติดเซฟ ดาเนี่ยล ปาเชโก้ ปัดมาเข้าทาง กาเซมีโร่ ซ้ำง่ายๆเข้าไป ช่วงทดเจ็บนาทีที่ 90+5 เวนิซิอุส จูเนียร์ พาบอลขึ้นมาจ่ายต่อให้ อีสโก้ กระชากเข้าในก่อนลองซัดด้วยขวาระยะร่วม 30 หลาไปชนคานส่งท้ายให้ "ราชันชุดขาว" จบเกม เรอัล มาดริด 1 อลาเบส 2 ลูกทีมของ ซีเนดีน ซีดาน ไร้ชัยในลีก 3 เกมติดมี 17 คะแนนจากการลงสนาม 10 นัดรั้งอันดับ 4 ของตาราง

เวสต์บรอมวิชสมหวังเฉือนเชฟยู ชนะเกมแรกในพรีเมียร์ลีกแล้ว

 เวสต์บรอมวิช vs เชฟฯ ยุไนเต็ด 

"เดอะ แบ็กกี้ส์" คว้าชัยชนะเกมแรกในลีกซีซั่นนี้แล้วหลังเปิดบ้านเฉือนเอาชนะ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด หวุดหวิด 1-0 เก็บสามแต้มพร้อมแซงฟูแล่ม และเบิร์นลี่ย์ ขึ้นไปอยู่อันดับ 17 แทน ส่วนดาบคู่จมบ๊วยของลีก ในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา

เกมพรีเมียร์ลีก คู่สุดท้ายของคืนวันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เป็นสองทีมท้ายตารางที่ยังไม่ชนะทีมใดระหว่างเจ้าถิ่น เวสต์บรอมวิช ทีมอันดับ 19 พบกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ทีมอันดับ 20 ครึ่งแรก เริ่มเล่นมาได้แค่ 13 นาที เจ้าถิ่น "เดอะ แบ็กกี้ส์" มาชิงขึ้นนำไปก่อน 1-0 บอลจากลูกเตะมุมทางด้านขวา มาเตอุส เปเรยร่า เปิดเข้าไปโดน  ซานเดอร์ เบิร์ก สกัดบอลไม่ดีมาเข้าทาง คอเนอร์ กัลลาเกอร์ แปสวนด้วยขวาเข้าไป แม้จะยิงไม่เต็มแรงแต่บอลพุ่งหนีมือ แอรอน แรมส์เดล เสียบมุมเข้าไป ttistextiledigest.com นาที 16 เชฟฯยูฯ เกือบได้ลุ้นตีเสมอ บอลจากริมเส้นทางซ้ายของ คีน ไบรอัน ครอสมาเสาแรกให้ โอลิเวอร์ เบิร์ก โขกแต่บอลยังไปติดมือของ แซม จอห์นสตัน เหินปัดออกหลังหวุดหวิด นาที 24 คอเนอร์ กัลลาเกอร์ ไหลให้ มาเตอุส เปเรยร่า กระชากเข้าหน้ากรอบก่อนซัดด้วยซ้ายหลุดเสาออกไปแบบได้เสียว

 เวสต์บรอมวิช เบียดเอาชนะ เชฟฯ ยุไนเต็ด 1-0

เดอะ แบ็กกี้ส์ ยังกดดันต่อเนื่อง นาที 34 เกือบได้ลุ้นเม็ดสองหลัง ดาร์เนลล์ เฟอร์ลอง ปาดเข้ามาหน้ากรอบ คาร์แลน แกรนท์ พุ่งมาซัดในกรอบ 6 หลาแต่ยังไปติด แอรอน แรมส์เดล ช่วงทดเจ็บ นาที 45+1 มาเตอุส เปเรยร่า ที่วันนี้เล่นได้โดดเด่นได้โอกาสตะบันด้วยซ้ายนอกกรอบอีกหนแต่บอลยังหลุดกรอบออกไป 

จบครึ่งแรก  เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ขึ้นนำ เชฟฯยูไนเต็ด 1-0 นาที 52 เจ้าบ้านได้ลุ้นจากลูกเตะมุม เปเรยร่า ที่วันนี้เล่นได้โดดเด่นเปิดมาให้ ไคล์ บาร์ทลี่ย์ โขกเต็มหัวไปติด แอรอน แรมส์เดล ปัดออกไปหวุดหวิด ครึ่งหลัง รูปเกมเจ้าถิ่นยังดีกว่า นาที 57 คอเนอร์ กัลลาเกอร์ มาเรียกฟรีคิกให้บนเส้น 18 หลา ก่อนที่ มาเตอุส เปเรยร่า จะตัดสินไม่ดียิงออกหลังไปแบบไม่ได้ลุ้น นาที 63 เชฟฯยูฯ ทิ้งโอกาสทอง หลัง โอลิเวอร์ เบิร์ก หลุดเข้าไปก่อนปาดมาหน้าประตูให้ จอร์จ บัลด็อค ยิงไม่ถึง 6 หลาแต่บอลดันเหินข้ามคานอย่างน่าผิดหวัง นาที 80 "ดาบคู่" พลาดตีเจ๊าอีกหน คราวนี้  โอลิเวอร์ แม็คเบอร์นี่ ได้โอกาสลองซัดในกรอบแต่ยิงไม่ดีพอบอลพุ่งไปติดมือ แซม จอห์นสตัน นาที 85 เจ้าบ้านสวนกลับขึ้นมาและเกือบได้ลุ้นเม็ดสองนำห่าง จากจังหวะซัดด้วยซ้ายของ ฮัล ร็อบสัน-คานู บอลพุ่งเกือบจะเข้าอยู่แล้วแต่ แอรอน แรมส์เดล ยังเหนียวปัดออกไปได้

ช่วงทดเจ็บ นาที 90+4 ริอาน บรูว์สเตอร์ กดด้วยขวานอกกรอบบอลพุ่งจน แซม จอห์นสตัน ต้องปัดออกไป อีกสองนาทีต่อมา บรูว์สเตอร์ ได้กดด้วยขวาไปติดบล็อคแข้งเจ้าถิ่นอีก ก่อนที่ ลีห์ส มุสเซ็ต จะซ้ำจ่อๆไม่ถึง 5 หลาบอลเหินคานอย่างน่าผิดหวัง จบเกม เวสต์บรอมวิช เบียดเอาชนะ เชฟฯ ยุไนเต็ด 1-0 เก็บชัยชนะนัดแรกของซีซั่นได้สำเร็จ พร้อมแซงหนีโซนตกชั้นขึ้นมาอยู่อันดับ 17 มี 6 คะแนน ส่วน เชฟฯยูไนเต็ด แพ้เกมที่ 9 จาก 10 นัด มี 1 แต้มจมบ๊วยอันดับ 20 ของตาราง

เปแอสเชแค่เสมอ! บอร์กโดซ์ดึงเจ๊าเสียฟอร์มก่อนบุกแมนยู

เปแอสเช vs บอร์กโดซ์ 

ปารีส แซงต์-แชร์กแมง สะดุดในลีกสองเกมติด ทำได้แค่เสมอกับ บอร์กโดซ์ 2-2 แบ่งคะแนน เสียฟอร์มก่อนมีคิวยกทัพเยือนถิ่น "ปีศาจแดง" แมนยู เกมแชมเปี้ยนส์ลีก วันพูธนี้ ในการแข่งขันศึกฟุตบอลลีกเอิง ฝรั่งเศส คืนวันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

ศึกฟุตบอลลีกเอิง ฝรั่งเศส คืนวันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ปารีส แซงต์-แชร์กแมง จ่าฝูงเกมนัดก่อนปราชัยให้ โมนาโก โธมัส ทูเคิ่ล เทรนเนอร์เจ้าบ้าน มีสามประสานทั้ง "เนย์มาร์,เอ็มบั๊ปเป้,คีน" ลงนัดนี้ก่อนมีคิวบุกดวล แมนยู ศึกชปล. เฝ้ารังฉะ บอร์กโดซ์ ที่ผลงานเพิ่งเริ่มดีเกมที่แล้ว ฌอง-หลุยส์ กัสเซ่ต์ กุนซือของทีมจัด "ฮาเต็ม เบน อาร์กฟา" ขับเคลื่อนแนวรุกนำทีมลุ้นชัยชนะ โดยก่อนเกมมีการไว้อาลัยแด่การจากไปของ ดีเอโก้ มาราโดน่า ทีมเยือนบุกก่อนนาทีที่ 7 มิคเชล บัคเกอร์ เลี้ยงบอลกระฉอกถูก ฮาเต็ม เบน อาร์กฟา ฉกบอลกลางสนามแทงออกมาที่ ฮวัง อุย-โจ ลากบอลเข้าเขตโทษตบเข้ากลางให้มิดฟิลด์ชาวฝรั่งเศสซัดติดเท้าแนวรับเจ้าถิ่นออกหลัง บอร์กโดซ์นำจนได้นาทีที่ 10 เมห์ดี แซร์คาน เปิดลูกเตะมุมทางซ้าย บอลลอยมาถึง จอช มายา วิ่งมาโหม่งสะบัดบอลตรงเขตโทษ 6 หลาทางเสาแรกแฉลบ ติโมธี เปมเบเล่ กองหลังเจ้าถิ่นซุกก้นตาข่าย เจ้าถิ่นชวดเจ๊านาทีที่ 13 ราฟินญ่า อัลคันตาร่า เลี้ยงบอลตัดเข้ากลางทำชิ่งกับ มอยเซ่ คีน ปาดออกมาทางขวาให้ อเลสซานโดร ฟลอเรนซี่ แตะบอลเข้าเขตโทษก่อนซัดเต็มเท้าแต่ถูก เบอนัวต์ กอสติล มือกาวทีมเยือนยืนบล็อกเอาไว้ได้

เปแอสเช เสมอ บอร์กโดซ์ 2-2 

ปารีสไล่ทันนาทีที่ 25 เนย์มาร์ ชอบทักษะความพริ้วลากบอลลุยเข้าเขตโทษ แตะหลบแนวรับทีมเยือนและถูก โอตาวิโอ แหย่เท้าเตะล้ม กรรมการปล่อยเกมไปก่อนวิ่งดูวีเออาร์ เป่าจุดโทษให้เปแอสเช เนย์มาร์ สังหารเข้าประตูตีเสมอให้เจ้าบ้าน

และแล้วนาทีที่ 28 เนย์มาร์ เลี้ยงบอลกลางสนามมาถึงหน้ากรอบเขตโทษ สับไกยิงจังหวะแรกถูกนายทวารทีมเยือนเซฟ บอลไม่ไปไหนเข้าทาง มอยเซ่ คีน ตามซ้ำตรงเขตโทษด้านขวาประมาณ 8 หลาเป็นสกอร์ ต่อมานาทีที่ 35 เพรสแนล คิมเปมเบ้ ดันสูงมาหน้ากรอบเขตโทษ แทงต่อไปที่ คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ ลองปั่นบอลจากเขตโทษด้านซ้าย บอลติดมือนายทวารบอร์กโดซ์ เปลี่ยนทางชนโคนเสาสองอย่างจัง จบ 45 นาทีแรก ปารีส แซงต์-แชร์กแมง นำอยู่ 2-1 ทีมเยือนเกือบตีเสมอนาทีที่ 47 ฮวัง อุย-โจ กระชากบอลมาทางริมเขตโทษทางซ้าย เอี่ยวตัวปั่นโค้ง ufabet369.info บอลเลี้ยวเข้าหากรอบแต่ เซร์คิโอ ริโก้ นายด่านปารีสยื่นมือปัดไว้เล็กน้อย บอร์กโดซ์เดินหน้าอีกนาทีที่ 51 ฮาเต็ม เบน อาร์กฟา เปิดลูกเตะมุมทางซ้าย บอลลอยมากลางเขตโทษ ปอล บายซ์เซ่ แนวรับทีมเยือนมาช่วยโหม่งบอลเต็มศีรษะทว่าบอลไม่ตรงกรอบออกข้างเสาไป

ปารีสเซ็งหนักนาทีที่ 60 ฮาเต็ม เบน อาร์กฟา เลี้ยงมาจี้มาทางกรอบเขตโทษด้านขวา ส่งย้อนให้ เรมี่ อูแด็ง ตัวสำรองทำท่าหลอกจะยิงแต่ปล่อยบอลกลิ้งไปที่ ยาซีน อัดลี่ บรรจงซัดนอกกรอบบอลหนีมือ เซร์คิโอ ริโก้ นายทวารเปแอสเช อย่างสวยงาม จบเกม เปแอสเช เสมอ บอร์กโดซ์ 2-2 สะดุดในลีกสองเกมติด ก่อนออกเยือน แมนยู ศึกชปล. 

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2563

7 ประเด็นร้อนก่อนเกมพรีเมียร์ลีก นัดที่ 10

เดินทางเข้าสู่เกมที่ 10 ของ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2020/21 สัปดาห์นี้มีหลายคู่ให้แฟนๆ ได้ติดตาม โดยจะมีอะไรน่าสนใจบ้าง ไปดูกันได้เลย

"ไบรท์ตัน-ลิเวอร์พูล" หลังจากบุกเอาชนะ แอสตัน วิลล่า 2-1 เมื่อเกมที่แล้ว ทำให้ ไบรท์ตัน มีสิทธิ์ลุ้นเอาชนะสองเกมติดในลีกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปี 2019 อย่างไรก็ตาม ชัยชนะที่เกิดขึ้นกับ "เดอะ ซีกัลส์" 4 เกมหลังสุด คือการเล่นเป็นทีมเยือน โดยที่พวกเขาเอาชนะคู่แข่งในบ้านตัวเองไม่ได้มาแล้วถึง 8 เกม ส่วน "มหาเทพ" แดนนี่ เวลเบ็ค ตั้งเป้าทำสกอร์สองเกมติดต่อกันในลีกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 2016 สมัยที่ยังเล่นให้กับ อาร์เซน่อล ลิเวอร์พูล ไม่ชนะเกมเยือนในลีกมาแล้ว 3 นัดติดต่อกัน (เสมอ 2 แพ้ 1) ซึ่งครั้งสุดท้ายที่ "หงส์แดง" ไม่ชนะนอกบ้าน 4 นัด ต้องย้อนไปเมื่อช่วงระหว่างเดือนมกราคม ถึงเดือนมีนาคม ปี 2017 ดีโอโก้ โชต้า ยังคลำเป้าเกมเยือนให้กับ ลิเวอร์พูล ไม่ได้ ทว่าเกมล่าสุดที่เขามาเยือนที่นี่คือการทำสองประตูตอนที่ยังอยู่กับ วูล์ฟแฮมป์ตัน

"แมนฯ ซิตี้ - เบิร์นลี่ย์" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีสถิติเจอกับ เบิร์นลี่ย์ ยอดเยี่ยมสุดๆ เมื่อ 6 เกมหลังในบ้านเอาชนะได้เรียบวุธ โดยที่ยิงสกอร์รวมกันถึง 24-2 และ 3 เกมหลังสกอร์จบที่ชัยชนะ 5-0 ซึ่งหากจบที่ผลการแข่งขันนี้อีก ก็จะทำให้เป็นครั้งแรกเป็นครั้งแรกของศึก พรีเมียร์ลีก ที่มีทีมทีมหนึ่งเอาชนะอีกทีมด้วยสกอร์เดียวกัน 4 นัดติดต่อกัน ริยาด มาห์เรซ ซัดประตูใส่ เบิร์นลี่ย์ 4 ประตูจาก 3 เกมที่เจอกัน ขณะที่ เซร์คิโอ อเกวโร่ ยิงได้ 9 ลูกจาก 9 เกมที่เจอ เบิร์นลี่ย์ ในทุกรายการ เบิร์นลี่ย์ มองหาชัยชนะ 2 นัดติดต่อกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน หลังเกมก่อนเอาชนะ คริสตัล พาเลซ มาได้ 8 นัดในลีกที่ผ่านมาของ เบิร์นลี่ย์ มีสกอร์เกิดขึ้นรวมกันแค่ 16 ลูกเท่านั้น (ยิง 4 เสีย 12) ซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยที่สุด โดยที่ไม่มีทีมไหนยิงได้น้อยกว่าพวกเขาอีกแล้ว "เอฟเวอร์ตัน-ลีดส์" เอฟเวอร์ตัน ไม่แพ้เกมในบ้านตัวเองเกม พรีเมียร์ลีก ต่อ ลีดส์ ยูไนเต็ด มาแล้ว 12 เกม โดยพวกเขาเก็บคลีนชีตได้ถึง 8 จาก 10 เกมหลัง โดมินิค คัลเวิร์ต-ลูวิน ผู้นำดาวซัลโวในตอนนี้ ซัดไปแล้ว 10 ลูกจากการลงเล่น 9 นัด thepixelbeard.com ซึ่งมีแค่ เลส เฟอร์ดินานด์ เท่านั้นที่ยิงได้มากกว่า 10 ประตูจาก 10 เกมแรกของฤดูกาล (13 ประตุ) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อฤดูกาล 1995/96 ชัยชนะหนสุดท้ายที่ "ยูงทอง" มีต่อ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" คือเกม ลีก คัพ เมื่อเดือนกันยายน ปี 2012 ด้วยสกอร์ 2-1 โดยเกมลีกนัดสุดท้ายที่เอาชนะได้ต้องย้อนไปถึงเดือนธันวาคม ปี 2001 และนับจากนั้นมีผลการแข่งขันคือ เสมอ 2 แพ้ 3 แพทริค แบมฟอร์ด มีสิทธิ์ทำสถิติเทียบเท่า เธียร์รี่ อองรี ที่ทำประตูเกมเยือนได้ทุกนัดใน 5 เกมแรกของซีซั่น

7 ประเด็นก่อนศึกพรีเมียร์    

"เซาธ์แฮมป์ตัน-แมนฯ ยูไนเต็ด" สำหรับเกมลีก เซาธ์แฮมป์ตัน เอาชนะในบ้านตัวเองมาแล้ว 3 นัดติดต่อกัน โดยเก็บชัยด้วยสกอร์ 2-0 ทุกนัด และการคว้าชัยในถิ่น เซนต์ แมรี่ส์ 4 เกมติดต้องเยือนไปเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2016 ทีมนักบุญ ไม่แพ้ใครในลีกมาแล้ว 7 เกม (ชนะ 5 เสมอ 2) ซึ่งมีแค่ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ เท่านั้นที่ไม่แพ้ใครยาวนานกว่า อีกทั้งสถิติไม่แพ้ใคร 8 นัดติดต่อกัน ครั้งสุดท้ายของ เซาธ์แฮมป์ตัน ต้องย้อนไปช่วงระหว่างเดือนกันยายน ถึงพฤศจิกายน ปี 2013 สมัยยุคของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ขณะที่ฝั่ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตั้งเป้าคว้าชัยเกมเยือน 8 นัดติดต่อกันบนลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ทุกชัยชนะของ "ปีศาจแดง" ใน พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้ 4 เกม ประตูชัยเกิดจาก บรูโน่ แฟร์นันด์ส คนเดียวเท่านั้น

"เชลซี-สเปอร์ส" นับตั้งแต่เริ่มต้นซีซั่น 2018/19 เชลซี เอาชนะเกม ลอนดอน ดาร์บี้ ในถิ่นตัวเอง 8 จาก 10 นัด แทมมี่ อับราฮัม ตั้งเป้าทำสกอร์ในลีก 3 นัดติดต่อกัน เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2019 โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ แพ้ทั้งสองเกมที่คุมทีมวัดฝีมือกับ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ของฝั่ง เชลซี เมื่อฤดูกาลก่อน อย่างไรก็ตาม เฮียมู ไม่เคยทำทีมแพ้ผู้จัดการทีมคนเดียวกันในลีก 3 เกมติดต่อกันเลยสักครั้ง สเปอร์ส จะเป็นทีมที่ 5 ที่สามารถเอาชนะเกมเยือน 5 นัดแรกได้ทุกนัด หากเก็บชัยชนะได้อีกในเกมนี้ ซึ่งทีมก่อนหน้ามี นิวคาสเซิล (1994/95), ชาร์ลตัน แอธเลติก (2005/06), เชลซี (2008/09) และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (2017/18) ที่เคยทำได้ "อาร์เซน่อล-วูล์ฟส์" อาร์เซน่อล แพ้แค่เกมเดียวต่อ วูล์ฟแฮมป์ตัน เท่านั้นใน 19 เกมบนลีกสูงสุดที่เจอกัน (ชนะ 13 เสมอ 5) โดยเกมเดียวที่แพ้เกิดขึ้นที่ โมลินิวซ์ เมื่อเดือนเมษายน ปี 2019 "เดอะ กันเนอร์ส" เก็บคลีนชีตในบ้านตัวเองไม่ได้มาแล้ว 7 เกมติดต่อกัน ซึ่งสถิตินี้นานสุดของพวกเขาคือ 9 นัดตอนช่วงระหว่างเดือนมกราคม ถึงเดือนสิงหาคม ปี 2017 วูล์ฟส์ เพิ่งเสียประตูไปเพียง 10 ลูกเท่านั้นในซีซั่นนี้ มีแค่ สเปอร์ส ทีมเดียวที่เสียประตูน้อยกว่าที่ 9 ประตู 3 เกมหลังสุดที่ วูล์ฟส์ บุกมาได้ผลสกอร์ 1-1 ที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ถึงตอนนี้พวกเขามองหาชัยชนะนัดแรกในรอบ 10 เกมกับการมาเยือนบ้านของ อาร์เซน่อล (เสมอ 4 แพ้ 5)

"เลสเตอร์-ฟูแล่ม" เบรนแดน ร็อดเจอร์ส มีสถิติสวยหรูยามเจอกับ ฟูแล่ม เมื่อสามารถคว้าชัยได้ทั้ง 7 นัดในยามที่พบกัน ซึ่งมีแค่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เท่านั้นที่มีสถิติดีกว่าในการเจอกับทีมใดทีมหนึ่งในศึก พรีเมียร์ลีก โดยกุนซือสแปนิช เอาชนะ บอร์นมัธ และ วัตฟอร์ด 8 ครั้งในทุกนัดที่เจอกัน เจมี่ วาร์ดี้ กองหน้าตัวเก๋าของ "เดอะ ฟ๊อกซ์" มีส่วนร่วมกับทั้ง 3 ประตูในนัดล่าสุดที่ทั้งสองทีมเจอกัน โดยยิงได้ 2 และแอสซิสต์ 1 ในเกมที่เอาชนะ 3-1 เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2019 ฟูแล่ม รักษาคลีนชีตได้ถึง 67% ในการเจอกับ เลสเตอร์ ในศึก พรีเมียร์ลีก โดยทำได้ 4 จาก 6 นัดหลังสุด ซึ่งมีแค่ ดาร์บี้ เคาตี้ ทีมเดียวที่ทำได้ดีกว่าที่ 75% ในการลงเล่นเกม พรีเมียร์ลีก มันเดย์ ไนท์ "เจ้าสัวน้อย" เอาชนะคู่แข่งได้ถึง 4 จาก 6 เกม ซึ่งชัยชนะนัดเดียวของซีซั่นนี้ ก็เกิดขึ้นในวันจันทร์ ที่เอาชนะ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน

แผงกลางลุ้น เฮนโด้, ติอาโก้!เจาะ 5 ประเด็นก่อน ลิเวอร์พูล เยือน ไบรท์ตัน

5 ประเด็น..หงส์ ฉะ ไบรท์ตัน

ลิเวอร์พูล มีคิวเยือน ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้น ในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งถือเป็นโอกาสดีที่ "หงส์แดง" จะได้แก้ตัวจากการพ่ายแพ้ อตาลันต้า เมื่อกลางสัปดาห์ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม ดี แมตช์นี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังคงต้องลุ้นสภาพความฟิตของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กับ ติอาโก้ อัลกันตาร่า ในขณะที่ตำแหน่งแบ็กขวาอาจจะต้องใช้งาน เนโก วิลเลี่ยมส์ เนื่องจาก เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ยังมีสภาพร่างกายไม่พอสำหรับเกมที่สนาม ดิ เอเม็กซ์ คอมมิวนิตี้ สเตเดี้ยม ขณะเดียวกเกมนี้ อดัม ลัลลาน่า จะได้มีโอกาสเจอทีมเก่าเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่อำลาสโมสรในช่วงตลาดพ่อค้าแข้งรอบ 2 เมื่อซัมเมอร์นี้ ฉะนั้นสาวก "เดอะ ค็อป" คงคาดหวังว่า "ลัลล้า" จะไม่ใช้กฎยิงประตูทีมเก่า ทำร้ายสโมสรที่ทำให้เขาได้เหรียญแชมป์พรีเมียร์ลีกนะ !!!

1. ลุ้นกัปตันเฮนโด้, ติอาโก้ คืนทัพใหญ่ สิ่งที่ คล็อปป์ ต้องกังวลมากๆ ในเวลานี้ก็คือแผงกองกลางเพราะในแมตช์กลางสัปดาห์ที่แพ้ อตาลันต้า ผู้เล่นมิดฟิลด์ทั้ง เจมส์ มิลเนอร์, จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม และ เคอร์ติช โจนส์ สู้ความแข็งแกร่งและรวดเร็วของมิดฟิลด์อตาลันต้า ไม่ได้เลย ฉะนั้นนี่จึงเป็นการบ้านที่นายใหญ่ชาวเยอรมันต้องรีบแก้ไขโดยด่วน แม้ผู้เล่นของ ไบรท์ตัน ชื่อชั้นอาจจะไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก แต่พวกเขาเป็นทีมที่เล่นด้วยระเบียบวินัย และค่อยช่วยเหลือกันและกัน ฉะนั้น คล็อปป์ จะต้องแก้ปัญหาตรงจุดนี้ให้ได้ แต่หาก "หงส์แดง" มี จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กับ ติอาโก้ อัลกันตาร่า ลงสนามพร้อมกัน ปัญหานี้อาจจะทุเลาเบาบางลง เพราะจะว่าไปแล้ว มิลเนอร์ กับ ไวจ์นัลดุม กรำศึกหนักจนสภาพร่างกายเริ่มอ่อนล้า ขณะที่ โจนส์ ทำผลงานไม่คงเส้นคงวา โดยเฉพาะในเกมรับมือกับทีมดังเมืองแบร์กาโม่ ดังนั้น คล็อปป์ จึงอยากได้ "เฮนโด้" กับ ติอาโก้ มาช่วยบัญชาเกมมากๆ ขณะที่ นาบี เกอิต้า ยังลุ้นเรื่องความฟิตต่อไป อย่าลืมว่า ไบรท์ตัน มี อดัม ลัลลาน่า ซึ่งเป็นอดีตผู้เล่นสำคัญของ "หงส์แดง" มานานหลายปี ฉะนั้นเขาย่อมรู้ไส้รู้พุงแนวทางการเล่นทีมเก่า ที่สำคัญแผงมิดฟิลด์ในชุดปัจจุบัน ลัลลาน่า ก็เคยมีโอกาสได้เล่นร่วมกันมาแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เจ้าตัวจะอ่านทางเพื่อนเก่าได้ 2. ได้เวลา 4 มหัศจรรย์ประสานงานอีกครั้ง แม้ว่าเกม "นกนางนวล" พวกเขาอาจจะมีฟอร์มที่ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก แต่สำหรับ คล็อปป์ เกมเยือนยังไงก็ต้องเน้นทุกจังหวะ ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะจัดผู้เล่นชุดที่ดุดันที่สุดเพื่อหวังจะเก็บ 3 คะแนนให้ได้ และแซงหน้า สเปอร์ส ขึ้นไปเป็นจ่าฝูงชั่วคราว ฉะนั้นแมตช์นี้สาวก "เดอะ ค็อป" คงจะได้เห็น 4 มหัศจรรย์ทั้ง ซาดิโอ มาเน่, โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ ดีโอโก้ โชต้า ลงสนามพร้อมกัน แต่ คล็อปป์ จะจับให้ทั้ง 4 คนยืนตรงไหนนี่เป็นประเด็นที่น่าคิดจริงๆ เพราะหากตัด ฟีร์มีโน่ ออกไปทั้ง 3 คนที่เหลือฟอร์มฮอตมากๆ แต่หากมองจากผลงาน ณ เวลานี้ โชต้า ถือว่ากำลังฟอร์มเข้าฝักที่สุด จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ นายใหญ่เลือดด๊อยท์ช จะเลือกให้โอกาสเขาทำหน้าที่เป็นหน้าเป้า เพราะผลงานตะบันไปแล้ว 8 ประตูจาก 13 เกม thehotspotonline.com โดยเป็นการยิงในพรีเมียร์ลีก 4 ประตูใน 7 เกม ขณะที่ "โมซาลาห์" กับ มาเน่ ยังคงทำหน้าที่เป็นแนวรุกริมเส้น เพราะความรวดเร็ว และความคล่องตัวของเขาน่าจะจัดการปั่นป่วนแนวรับเจ้าบ้านได้ไม่ยาก ส่วน ฟีร์มีโน่ ถึงจะมีปัญหาเรื่องการยิงประตูแต่ทักษะชั้นยอดของเขาเหมาะอย่างยิ่งที่จะยืนหน้าต่ำคอยป้อนบอลให้แนวรุกเผด็จศึก

5 ประเด็นก่อน ลิเวอร์พูล เยือน ไบรท์ตัน

3. แบ็กโฟร์พิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง แน่นอนว่าแผงแบ็กโฟร์ของ "เดอะ เร้ดส์" ในเวลานี้ยังขาดความแน่นอนเนื่องจากปัญหาบาดเจ็บที่ผ่านมาทำให้พวกเขายังไม่สามารถจัดเกมรับได้แข็งแกร่งเหมือนกับเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ที่เล่นเกมรับได้อย่างเหนียวแน่น จนช่วยให้ทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครอบครองได้สำเร็จ การขาด เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ กับ โจ โกเมซ ไปนานหลายเดือนเป็นเรื่องที่เสียหายสุดๆ แม้จะมี โฌแอล มาติป คอยทำหน้าที่ประคับประครองเกมรับแต่เขาก็ยังขาดคู่หูเซนเตอร์แบ็กที่รู้ใจ โดยในเวลานี้ทำได้เพียงแค่ต้องรับผิดชอบเกมรับร่วมกับ ฟาบินโญ่ กองหลังจำเป็น แม้ช่วงที่ผ่านมาทั้งสองคนจะทำหน้าที่ได้ดี แต่ก็ยังไม่มีอะไรการันตีว่าพวกเขาจะสามารถรักษาสภาพความฟิตเอาไว้ได้ตลอดรอดฝั่งกับสถานการณ์ที่ต้องลงเล่นแบบ 3 วันต่อเกม แน่นอนว่าย่อมมีความเสี่ยงสูงที่จะโดนปัญหาบาดเจ็บพรากไปจากสนามแข่งอีกครั้ง

ในส่วนของฟูลแบ็กมองไปทางซ้าย แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ยังคงเป็นนักเตะที่ คล็อปป์ ขาดไม่ได้จริง ฟอร์มการเล่นแบบไม่รู้จักคำว่าเหนื่อยคือสิ่งที่เจ้าตัวแสดงให้เห็นมาตลอด โดยเฉพาะในเกมแพ้ อตาลันต้า การที่ไม่มีสตาร์ชาวสกอตติช ลงเล่นตัวจริง เกมทางริมเส้นฝั่งซ้ายไร้ประสิทธิภาพสิ้นดี ที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือแบ็กขวา เพราะ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ยังมีปัญหาบาดเจ็บน่อง ไม่น่าจะฟิตทันช่วยทีมได้ ฉะนั้น คล็อปป์ คงเลือกใช้งาน เนโก วิลเลี่ยมส์ ลงเล่น แต่ก็อาจจะมีออปชั่นพิเศษด้วยการใส่ชื่อ มิลเนอร์ ทำหน้าที่แทน แต่ต้องในกรณีที่ เฮนเดอร์สัน หรือ ติอาโก้  หรือทั้งสองคนฟิตสมบูรณ์ มิเช่นนั้น คล็อปป์ ไม่มีทางจับแข้งจอมเก๋ามายืนเป็นฟูลแบ็กแน่นอน 4. เกมที่ 100 ของ อลีสซง จะสวยงามหรือช้ำใจ เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกินสำหรับ อลีสซง เบ็คเกอร์ เพราะนับตั้งแต่ย้ายจาก โรม่า มาเฝ้าเสาในถิ่นแอนฟิลด์ เมื่อปี 2018 ผลงานของเขาทำให้แฟนบอลลิเวอร์พูล รู้สึกอุ่นใจมากๆ เพราะก่อนหน้าที่ นายด่านชาวบราซิเลียน จะมาเล่นให้ "หงส์แดง" นายทวารไม่รู้กี่คนต่อกี่คนทำให้สาวก "เดอะ ค็อป" ต้องหวาดเสียวเป็นประจำ สำหรับแมตช์เยือน ไบรท์ตัน จะเป็นการทำหน้าที่นายด่านปราการสุดท้ายให้กับ ลิเวอร์พูล เป็นเกมที่ 100 พอดิบพอดี ฉะนั้นถือว่าเป็นแมตช์ที่มีความหมายสำหรับเจ้าตัวอย่างมาก และยังเป็นการแสดงให้เห็นว่า อลีสซง คือหนึ่งในผู้เล่นคีย์แมนที่มีผลต่อฟอร์มการเล่นของ "เดอะ เร้ดส์" ด้วย มีหลายเกมที่ ลิเวอร์พูล ขาด โกลทีมชาติบราซิล ทำหน้าที่เฝ้าเสา ทีมมักจะระส่ำ โดยเฉพาะการที่ทีมต้องใช้งาน อาเดรียน ยืนอยู่หน้ากรอบประตู มีหลายจังหวะที่แฟนบอลต้องใจหายใจคว่ำทุกครั้งที่คู่แข่งเปิดเกมบุกเข้ามาป่วนเปี้ยนบริเวณเขตโทษ ฉะนั้นในเกมที่ 100 แน่นอนว่า อลีสซง คงอยากได้ผลการแข่งขันที่สวยหรู เพื่อเป็นแรงกระตุ้นสำหรับการเดินหน้าเฝ้าเสาให้กับทีมต่อไปเรื่อยๆ ในอนาคต 5.  เรียกสติกลับสู่โลกพรีเมียร์ลีก หลายคนอาจมองว่า ลิเวอร์พูล อาจจะมีอาการล้าเนื่องจากเพิ่งจะกรำศึกหนักในแมตช์กลางสัปดาห์ที่แพ้ อตาลันต้า ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก คาถิ่นแอนฟิลด์ แต่สำหรับสาวก "เดอะ ค็อป" และนักเตะ "หงส์แดง" มองว่านี่คือโอกาสดีที่จะได้แก้ตัว และเรียกสติกลับมาอีกครั้ง ความพ่ายแพ้ต่อ อตาลันต้า ทำหน้า "เดอะ เร้ดส์" เสียศูนย์กันไปพอสมควร และอาจจะเกิดเอฟเฟกต์ลามไปยังเกมลีกที่ต้องเยือน "เดอะ ซีกัลล์ส" ก็ได้ แต่งานนี้คาดว่าบรรดาลูกทีมของกุนซือเจอร์เก้น คล็อปป์ คงอยากจะแก้ตัวจากการพ่ายแพ้อย่างน่าเจ็บปวดในเกมกลางสัปดาห์ เพื่อเรียกความมั่นใจและศรัทธากลับคืนจากแฟนบอลอีกครั้ง

ที่สำคัญยังเป็นการเรียกสติ และความเชื่อมั่นให้พร้อมสำหรับศึกแชมเปี้ยนส์ ลีก ต้อนรับการมาเยือนของ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ที่สนามแอนฟิลด์ ในศึกถ้วยใบโตยุโรป วันอังคารหน้า ซึ่งมีความหมายมากๆ เพราะพวกเขาต้องการชัยชนะแค่ 1 เกมจาก 2 แมตช์ในรอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม ดี ก็จะการันตีการผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ ฉะนั้นหาก "หงส์แดง" สามารถบุกไปเก็บ 3 แต้มได้ ความฮึกเหิมและกำลังใจของพวกเขาจะกลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลดีสำหรับแมตช์ต่อๆ โดยเฉพาะเกมลีกที่จะรับมือวูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ในวันอาทิตย์ที่ 6 ธ.ค. ที่พวกเขาจะได้มอบของขวัญชิ้นโบว์แดงให้แฟนบอล เพื่อเป็นการต้อนรับการกลับมาชมเกมในสนามเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 8 เดือน 




 


ราฟินญ่าซัดชัย! ลีดส์บุกเชือดเอฟเวอร์ตันสุดมัน เฮแรกในรอบ4เกม

ลีดส์ v เอฟเวอร์ตัน

"ยูงทอง" เก็บสามแต้มกลับบ้านจนได้ หลังบุกไปเอาชนะเจ้าถิ่น เอฟเวอร์ตัน 1-0 จากประตูชัยของ ราฟินญ่า แข้งบราซิเลี่ยนในช่วงท้ายเกม โดยเกมนี้ทั้งคู่แลกกันสนุกโอกาสยิงเกือบ 40 ครั้ง ก่อนที่ ลีดส์ จะคว้าชัยแรกในรอบ 4 เกมขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 11 ส่วน "ทอฟฟี่" แพ้ 4 นัดในรอบ 5 เกม อยู่อันดับ 6 เหมือนเดิม ในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันเสาร์ที่ผ่านมา

เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เอฟเวอร์ตัน ทีมอันดับ 6 รับมือการมาเยือนของน้องใหม่ ลีดส์ ยูไนเต็ด ทีมอันดับ 15 โดยผลงานในลีกที่ผ่านมาของทั้งคู่ "ทอฟฟี่" บุกไปเอาชนะ ฟูแล่ม 3-2 ส่วน "ยูงทอง" เสมอกับ อาร์เซน่อลในบ้าน 0-0 ออกสตาร์ทเกมมาไม่ถึง 7 นาที "ทอฟฟี่" เกือบได้ลุ้นขึ้นนำหลัง ฮาเมส โรดริเกซ จ่ายเร็วให้ คัลเวิร์ท-เลวิน แทงบอลเร็วถึงเส้นหลังให้ ทอม เดวิส ปาดมาหน้ากรอบให้ อับดูลาย ดูกูเร่ ล้มตัวยิงแต่บอลไปตรงตัว อิลล็อง เมส์ลิเย่ร์ พุ่งปัดออกมาหวุดหวิด แต่ในนาทีที่ 10 "ยูงทอง" สวนขึ้นมาเกือบได้ประตูเช่นกัน หลัง ราฟินญ่า กระชากบอลจากแดนกลางขึ้นมาหน้ากรอบของทอฟฟี่ ก่อนจะไหลนิ่มๆให้ แจ็ค แฮร์ริสัน หลุดเข้าไปยิงแต่โดน พิคฟอร์ด ออกมาปิดมุมทำให้ยิงหลุดกรอบออกไปอย่างน่าผิดหวัง บอลแลกกันสนุก นาทีที่ 12 ริชาร์ลิซอน แต่งเข้าขวาก่อนซัดบนเส้น 18 หลาแต่บอลเบาไปตรงตัว เมส์ลิเย่ร์ ถัดมาอีกนาทีทีมเยือนตอบโต้มาเร็ว คราวนี้ คัลวิน ฟิลลิปส์ วิ่งมาซัดไม่จับนอกกรอบแต่บอลไปแฉลบแข้งทอฟฟี่ก่อนไปเข้ามือ จอร์แดนพิคฟอร์ด นาที 21 "ยูงทอง" ลุยมาอีกที มาเตอุสซ์ คลิช เก็บตกในกรอบก่อนยิงเฉือนๆไม่เต็มใบบอลไปเข้าทาง  แพทริค แบมฟอร์ด ซัดด้วยซ้ายไม่ถึง 10 หลา แต่ยังไปติดขาของ พิคฟอร์ด เซฟไว้ได้อย่างเหลือเชื่อ นาที 24 ริชาร์ลิซอน เปิดบอลไปเสาไกลให้ ฮาเมส โรดริเกซ พักอกลงอย่างเหนือชั้นก่อนจะซัดมุมแคบผ่าน เมส์ลิเย่ร์ เข้าไป ทว่าผู้ตัดสินเป่าเป็นล้ำหน้าของ ฮาเมส ไปก่อนทำให้ชวดได้ประตูขึ้นนำอย่างน่าเสียดาย นาที 29 ลูกทีมของ บิเอลซ่า ชวดได้ประตูนำอีกครั้ง หลัง ลุค อายลิ่ง ครอสมาเสาสองให้ ราฟินญ่า โขกย้อนไปเสาแรกบอลจะเข้าอยู่แล้วแต่ จอร์แดน พิคฟอร์ด ยังโชว์ซูเปอร์เซฟกระโดดปัดปลายมือ บอลยังไม่พ้นอันตราย ลุค อายลิ่ง เก็บบอลได้แล้วจ่ายให้ แจ็ค แฮร์ริสัน ยิงผ่านแนวรับจะข้ามเส้นอยู่แล้วแต่ เบน ก็อดฟรีย์ ยังล้มตัวสกัดออกไปแบบฉิวเฉียด นาที 39 ฮาเมส โรดริเกซ เรียกฟรีคิกได้ก่อนเจ้าตัวจะลุกมาเปิดไปเสาไกลให้ ริชาร์ลิซอน ซัดด้วยขวาแต่ยังไปติดเซฟของ อิลล็อง เมส์ลิเย่ร์ 

ลีดส์ บุกมาเฉือนเอาชนะ เอฟเวอร์ตัน หวุดหวิด 1-0

นาที 42 ทอม เดวิส เลี้ยงตะลุยมาก่อนฝากให้ คัลเวิร์ต-เลวิน แตะคืนให้ ริชาร์ลิซอน วิ่งมาตะบันด้วยขวาไม่จับบอลพุ่งจะเสียบเสาแต่ยังโดน เมส์ลิเย่ร์ พุ่งปัดออกหลัง และจากลูกเตะมุมต่อมา ฮาเมส โรดริเกซ เปิดเตะมุมไปให้ ริชาร์ลิซอน โขกเบียดเสาเข้าไป ทว่าผู้ตัดสินเป่าไม่ให้ประตูหลัง เบน ก็อดฟรีย์ ที่อยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าไปมีส่วนร่วมกับประตูทำให้ชวดได้ประตูอีก

นาทีสุดท้ายครึ่งแรก "ยูงทอง" ชวดได้ประตูบ้างหลัง สจ๊วร์ต ดัลลัส เปิดมาให้ แจ็ค แฮร์ริสัน เทกตัวโขกบอลไปชนเสา จบครึ่งแรก ยังไม่มีประตู เอฟเวอร์ตัน เสมอกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด 0-0 ครึ่งหลัง เริ่มมาแค่ นาที 46  โดมินิค คัลเวิร์ท-เลวิน ได้บอลหลุดเข้าไปซัดมุมแคบแต่ยังไปติดเซฟของนายด่านยูงทอง จากนั้น เลวิน ได้โอกาสอีกหลังบอลสวนกลับของ "ทอฟฟี่" ริชาร์ลิซอน วางบอลยาวมาให้ คัลเวิร์ท-เลวิน กระชากเดี่ยวๆเข้าไปในกรอบแต่จังหวะยิงด้วยขวาบดไปก่อนผ่านหน้าประตูออกหลังอย่างน่าผิดหวัง นาที 51 เจ้าบ้านเกือบได้ส้มหล่น หลัง อิลล็อง เมส์ลิเย่ร์ นายด่านของทีมเยือนออกบอลพลาดไปติด ฮาเมส โรดริเกซ ก่อนที่เพลย์เมกเกอร์ชาวโคลอมเบียจะชิพตรงกรอบแต่น้ำหนักบอลเบาไป ก่อนที่ เมส์ลิเย่ร์ จะถอยกลับไปรับไว้ได้ทัน นาที 59 แจ็ค แฮร์ริสัน ได้ซัดนอกกรอบเต็มแรงแต่ยังดีบอลพุ่งไปตรงตัว พิคฟอร์ด ไม่ถึงนาทีถัดมา "ทอฟฟี่" ได้ลุ้นอีก คราวนี้ อัลลัน โชว์เลี้ยงบอลจากแดนตัวเองกระชากหนีแข้งทีมเยือน 3-4 ราย ก่อนหลุดเข้าไปซัดแฉลบ โรบิน ค็อค เบียดเสาแรก ufabet369s.com นาที 66 เอ็กซิยาน อลิออสกี้ ลุ้นไปถึงเส้นหลังครอสมาเสาไกลให้ ราฟินญ่า ปาดมาหน้ากรอบให้ แพทริค แบมฟอร์ด ยิงโล่งๆเข้าไป ทว่าไลน์แมนยกธงเป็นจังหวะล้ำหน้าของ อลิออสกี้ ไปก่อนทำให้ชวดได้ประตูอย่างน่าเสียดาย เกมยังเปิดแลกกันมันส์ นาที 69 โดมินิค คัลเวิร์ท-เลวิน แตะคืนหลังให้ ฮาเมส โรดริเกซ แต่งบอลก่อนดึงเข้าซ้ายซัดนอกกรอบไปตรงตัว  เมส์ลิเย่ร์ แม้จะรับหลุดมือแต่ตามตะครุบไว้ได้ทัน

แต่สุดท้าย นาที 79 "ยูงทอง" มาพังประตูขึ้นนำเจ้าถิ่น 1-0 จนได้ จากจังหวะที่แจ็ค แฮร์ริสันจ่ายเข้ากลางให้ ราฟินญ่า ตะบันด้วยซ้ายลอดขา  เบน ก็อดฟรีย์ หนีมือจอร์แดน พิคฟอร์ดเข้าไปอย่างเฉียบขาด จบเกม ลีดส์ บุกมาเฉือนเอาชนะ เอฟเวอร์ตัน หวุดหวิด 1-0 ส่งผลให้ "ยูงทอง" มีเพิ่มเป็น 14 คะแนนเท่ากับ นิวคาสเซิ่ล, วูล์ฟแฮมป์ตัน และเวสต์แฮม แต่ลูกได้เสียเป็นรอง "หมาป่า" และ"ขุนค้อน" ส่วนฝั่ง "ทอฟฟี่" ชวดโอกาสขึ้นอันดับ 3 หลังแพ้เป็นที่ 4 ในลีก มี 16 คะแนน อยู่อันดับ 6 เหมือนเดิม



วีเออาร์แกงอีกแล้ว! 5 ประเด็นร้อนหลังลิเวอร์พูลสุดเซ็งเจ๊าไบรท์ตัน

ลิเวอร์พูล ทำสามแต้มหลุดมืออย่างน่าเสียดายหลังเจอจุดโทษในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ถือเป็นเกมสุดดราม่าที่มีประเด็นหลายอย่างให้พูดถึงกันทั้งเรื่องวีเออาร์ ,จุดโทษ และนักเตะบาดเจ็บ เรามาเจาะลึกกันทีละข้อเลย 1.วีเออาร์แกง 3 ครั้ง เป็นประเด็นที่ไม่พูดถึงไม่ได้เพราะวีเออาร์เปลี่ยนรูปเกมและผลการแข่งขันถึงสามครั้งเลยทีเดียว โดยจังหวะแรกเกิดขึ้นในนาทีที่ 20 เมื่อ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ได้หลุดเดี่ยวไปส่งบอลตุงตาข่าย แต่ผู้ตัดสินเช็กวีเออาร์แสดงให้เห็นว่าปีกชาวอียิปต์ล้ำหน้าช่วงปลายสตั๊ด ทำเอาแฟนหงส์เซ็งเป็นแถบ

ครั้งที่สองนั้นเกิดขึ้นในครึ่งหลังช่วงที่ ลิเวอร์พูล นำอยู่ 1-0 และจังหวะโหม่งตุงตาข่ายของ มาเน่ น่าจะเป็นประตูปิดกล่องไปแล้วทว่าวีเออาร์เช็กว่ากองหน้าชาวเซเนกัลอยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าไปก่อน และวีเออาร์จังหวะสุดท้ายของเกมนี้เกิดในช่วงทดเจ็บนาทีที่ 90+3 เมื่อ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ไปวางเท้าเปิดปุ่มใส่ แดนนี่ เวลเบ็ค ในเขตโทษ โดยผู้ตัดสินวิ่งไปดูวีเออาร์ข้างสนามก่อนจะให้เป็นจุดโทษของเจ้าบ้าน เป็นอีกหนึ่งเกมที่ ลิเวอร์พูล ทำแต้มหล่นเพราะวีเออาร์ สถิติฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล เสียผลประโยชน์จากวีเออาร์ไปแล้วถึง 8 ครั้ง 2.เนโก-มินามิโนะสอบตก ถือเป็นเกมที่นักเตะ “หงส์แดง” หลายคนโชว์ฟอร์มต่ำกว่ามาตรฐาน แต่สองคนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดคงหนีไม่พ้น เนโก วิลเลี่ยมส์ และ ทาคูมิ มินามิโนะ ในรายของ เนโก วิลเลี่ยมส์ นั้นได้รับโอกาสมากขึ้นหลัง เทรนต์ ได้รับบาดเจ็บแต่เขากลายเป็นจุดอ่อนในหลายๆเกม ประสิทธิภาพการเล่นเกมรุกของเขาสอบไม่ผ่านเลย ทีมไม่สามารถขึ้นเกมและสร้างโอกาสจากทางแบ็กได้แบบที่ เทรนต์ เคยทำ ขณะที่เกมรับ เจ้าตัวเพิ่งจะโดนเจาะเละเทะมาในเกมพ่าย อตาลันต้า เมื่อกลางสัปดาห์ เกมนี้ก็มาทำเสียจุดโทษอีก ไม่แปลกใจที่ คล็อปป์ จะเปลี่ยนตัวตั้งแต่พักครึ่งเวลา ส่วน ทาคูมิ มินามิโนะ ถูกจับมาเล่นเป็นแผงกองกลางในเกมนี้ซึ่งไม่ใช่ตำแหน่งที่เขาถนัดนักเลยอาจเป็นเหตุผลให้โชว์ฟอร์มไม่ออก มีหลายครั้งที่เขาจ่ายพลาด แถมแรงปะทะคู่แข่งก็สู้ไม่ไหวเลยทำให้เสียบอลง่าย แม้ว่าเจ้าตัวอาจจะได้รับโอกาสลงสนามน้อยแต่นี่เป็นฟอร์มที่ผิดจากที่คาดหวังไว้พอสมควร

เจาะลึกประเด็นร้อน

3.โชต้ายังเทพ แม้ ลิเวอร์พูล จะเก็บผลการแข่งขันที่น่าผิดหวัง แต่ความสุดยอดของ ดีโก้ โชต้า ยังน่าประทับใจเช่นเคย ในวันที่แนวรุกลิเวอร์พูลต่างหลุดฟอร์มกันหมด เขากลายเป็นคนสร้างความแตกต่าง ช่วงครึ่งแรก โชต้า อาจจะทำผลงานไม่ดีนักทั้งเสียบอลง่าย จ่ายบอลพลาด แต่เขามาชดเชยด้วยการโชว์สเต็ปแตะหลบกองหลังและยิงผ่าน แม็ทธิว ไรอัน เสียบเสาอย่างสวยงามซึ่งจังหวะนี้ถือเป็นการยิงตรงกรอบที่ได้น้ำได้เนื้อสุดของลิเวอร์พูล นี่เป็นประตู 9 จาก 14 นัดนับตั้งแต่ย้ายจาก วูล์ฟแฮมป์ตัน มาร่วมทัพ “หงส์แดง” คงเป็นนักเตะที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ดร็อปไม่ได้เสียแล้ว 

4.เล่นดีมีแต้มแล้ว ฤดูกาลนี้ ไบรท์ตัน มักจะเจอคอนเซ็ป “เล่นดีแต่ไม่มีแต้ม” มีหลายเกมที่พวกเขาต่อกรกับทีมใหญ่ได้สมน้ำสมเนื้อไม่ว่าจะเป็น เชลซี, แมนฯ ยูไนเต็ด หรือ สเปอร์ส แต่กลับเป็นฝ่ายปราชัยทั้งสามนัด เกมนี้พวกเขาสู้กับ ลิเวอร์พูล ได้ดีทีเดียว และน่าจะได้ประตูออกนำอยู่หลายครั้งทั้งจังหวะหลุดเดี่ยวของ อารอน คอนนอลลี่ หรือจุดโทษของ นีล โมเปย์ แต่ก็ฝังทีมเยือนไม่ได้สักที และมันก็เหมือนจะเข้าอีหรอบเดิมเมื่อเจอลูกยิงของ โชต้า ในช่วงครึ่งหลัง ทว่ายังมีวีเออาร์ช่วยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บทำให้พวกเขาเก้บแต้มจากบิ๊กซิกซ์ได้เป็นครั้งแรกของฤดูกาลนี้ อย่างไรก็ตามทัพ “นกนางนวล” คงต้องเร่งฟอร์มขึ้นมาโดยเฉพาะการเจอกับทีมในระดับเดียวกัน ตอนนี้พวกเขารั้งอันดับที่ 16 ห่างโซนตกชั้นเพียง 6 แต้มเท่านั้น รอดูกันว่าฤดูกาลนี้พวกเขาจะอยู่รอดได้หรือไม่ valleyhistoryinc.com 5.ตัวเจ็บเพิ่มอีก ผลการแข่งขันว่าเซ็งแล้ว สิ่งที่ทำให้แฟนเดอะค็อปเซ็งมากกว่าคือการที่มีนักเตะบาดเจ็บเพิ่มขึ้นอีก ปกติก็มีนักเตะชุดใหญ่บาดเจ็บมากถึง 7 คนได้แก่ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ (เข่า), โจ โกเมซ (เข่า), อเล็กซ์ อ็อดซ์เลด แชมเบอร์เลน (เข่า), ติอาโก้ อัลกันตาร่า (เข่า), เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ (น่อง), นาบี เกอิต้า (แฮมสตริง) และ เซอร์ดาน ชากิรี่ (กล้ามเนื้อ)

เกมนี้หวยมาออกที่ เจมส์ มิลเนอร์ กองกลางสารพัดประโยชน์ที่ถูกโยกมาเล่นเป็นแบ็กขวาในช่วงครึ่งหลังเนื่องจาก เนโก วิลเลี่ยมส์ โชว์ฟอร์มย่ำแย่ โดยเจ้าตัวบาดเจ็บแฮมสตริงจน คล็อปป์ ต้องส่ง เคอร์ติส โจนส์ มาเล่นเป็นแบ็กขวาจำเป็น หลังจากนี้ เนโก คงต้องถูกเข็นลงต่อแม้จะทำผลงานไม่ดีก็ตาม

ไร้โด้ชวดชัย! ยูเวนตุสแต้มกระฉอกถูกเบเนเวนโต้ไล่ตีเจ๊า

เบเนเวนโต้ v ยูเวนตุส

"ม้าลาย" ยูเวนตุส เกมนี้นอกจากไม่มี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยังทำแต้มหลุดมือสองคะแนน บุกถูก เบเนเวนโต้ ตามตีเสมอก่อนหมดครึ่งแรก 1-1 แบ่งคะแนนกัน ส่งผลให้ทีมเยือนพลาดโอกาสขึ้นรองจ่าฝูง ปล่อยให้ อินเตอร์ มิลาน ยึดตำแหน่งหลังบุกถล่ม ซาลซูโอโล่ ในการแข่งขันศึกฟุตบอลกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี คืนวันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

ศึกฟุตบอลกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี คืนวันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายนที่ผ่านมา "ม้าลาย" ยูเวนตุส ฟอร์มในลีกถือว่าดีแต่ไม่คงเส้นคงวา อันเดรีย ปิร์โล่ นายใหญ่พักผู้เล่นคนสำคัญ "คริสเตียโน่ โรนัลโด้" ส่งตัวแทนอย่าง "ดีบาล่า-โมราต้า" จับคู่หูบุกถิ่น เบเนเวนโต้ ที่มีอดีตเพื่อนเก่าสมัยค้าแข้ง ฟิลิปโป้ อินซากี้ เป็นกุนซือนำทีมชนะได้เกมที่แล้ว วางหมากใช้ "จานลูก้า กาปรารี่" เป็นทีเด็ดกำราบแชมป์เก่า โดยก่อนเริ่มเกมมีการยืนไว้อาลัยแด่การจากไปของ ดีเอโก้ มาราโดน่า ม้าลายมีเสียวนาทีที่ 8 ปาสกวาเล่ เชียตาเรลล่า โยนบอลกลางสนามเข้าในเขตโทษ ฮวน กวาดราโด้ วิ่งมาพักอกคืนหลังแต่เกือบไม่รู้กันกับ วอยเซียจ เชสนี่ บอลกลิ้งหวิดเข้าประตูยังดีนายทวารเพื่อนร่วมทีมย้อนกลับคุมเส้นแตะบอลทันเวลา เจ้าบ้านบุกอีกนาทีที่ 11 เปอร์ปาริม เฮเตมาย หยอดบอลริมสนามทางขวาเข้าเขตโทษ ผู้เล่นยูเว่โหม่งสกัดเข้าทาง จานลูก้า กาปรารี่ เก็บบอลตบออกมาที่ เฟเดอริโก บาร์บา แบ็กซ้ายดอดเติมด้านหลังเข้าไปซัดบอลตรงเขตโทษด้านซ้าย บอลถูกนายด่านม้าลายทุบออกหลัง โดยช่วงนาทีที่ 10 มีการปรบมือเป็นเกียรติแก่ตำนานฟ้าขาว ดีเอโก้ มาราโดน่า 

1-1

ยูเว่ออกนำนาทีที่ 21 เฟเดริโก้ เคียซ่า วางบอลโด่งขึ้นหน้ามาทางซ้ายหน้ากรอบเขตโทษให้ อัลบาโร่ โมราต้า จับบอลแต่งเข้าเขตโทษเหลี่ยมเท้าซ้ายซัดเช็คเสาสองด้านขวาซุกก้นตาข่ายอย่างแม่นยำ ทีมเยือนบุกต่อนาทีที่ 26 อัลบาโร่ โมราต้า โหม่งบอลชงต่อให้ เปาโล ดีบาล่า แปะสั้นให้ อารอน แรมซี่ย์ ทำชิ่งคืนมาที่เจ้าตัวรับบอลปั่นหน้ากรอบเขตโทษ แต่บอลเลี้ยวมากเกินออกข้างเสาซ้ายแบบมีลุ้นสกอร์ 

ช่วงทดเจ็บนาทีที่ 45+4 ก่อนหมด ปาสกวาเล่ เชียตาเรลล่า โยนบอลเข้าในเขตโทษ อาร์ตูร์ โขกเคลียร์บอลไม่ดีเข้าทางปืน กาเอตาโน่ เลติเซีย ปรีามาซัดเขตโทษทางขวา บอลพุ่งชนเสาสองด้านซ้ายตุงตาข่ายเช่นกัน ครึ่งแรกเสมอกัน 1-1 เบเนเวนโต้เกือบแซงนาทีที่ 48 ริคคาร์โด้ อิมโปรต้า ได้บอลหน้ากรอบเขตโทษด้านขวาก่อนตัดสินใจหวดไกล บอลทิศทางผ่านตัว วอยเซียจ เชสนี่ นายทวารยูเว่เลยออกข้างเสาสองไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น vvebspace.com ทีมเยือนชวดนำนาทีที่ 52 จานลูก้า ฟราบอตตา ดีดบอลเข้าเขตโทษทางซ้าย เฟเดริโก้ เคียซ่า สปีดมาก่อนที่นายด่านเจ้าบ้านจะถึงบอล ตบเข้ากลางให้ อัลบาโร่ โมราต้า โถมหัวโหม่งจ่อ ๆ โล่งโจ้งทว่าหัวหอกม้าลายโขกออกหลังเหลือเชื่อ

ต่อมานาทีที่ 85 มาร์โก เซา หลุดมาทางเขตโทษด้านซ้ายไหลเข้าเขตโทษทำชิ่งกับเพื่อน ก่อนสบจังหวะซัดบอลแต่ติดบล็อก มาต์ไตส์ เดอ ลิกท์ สไลด์ตัวดักป้องกันเอาไว้ได้ทัน ถัดมานาทีที่ 86 จานลูก้า ฟราบอตตา เลี้ยงบอลลุยมาทางซ้าย ปาดเข้ากลางเขตโทษ เดยัน คูลูเซฟสกี้ วิ่งมากระโดดหลอกบอลเลยมาถึง เปาโล ดีบาล่า ปรี่มายิงตามน้ำแต่ ลอเรนโซ่ มอนติโป นายทวารเจ้าบ้านโชว์เหนียวปัดออกหลังไป


มาห์เรซแฮตทริก! เดอ บรอยน์จ่าย2-แมนซิตี้ถล่มเบิร์นลี่สบายเท้า

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ vs เบิร์นลี่ย์

"เรือใบสีฟ้า" เจอกับงานไม่ยากหลังเปิดบ้านไล่ถล่ม เบิร์นลี่ย์ แบบสบายเท้า 5-0 คว้าชัยในลีกในรอบ 3 นัด โดยเกมนี้ ริยาด มาห์เรซ ทำแฮตทริกยิงคนเดียว 3 ประตู พาทีมเก็บสามแต้มขยับขึ้นอันดับ 8 มี 15 คะแนน ส่วนเบิร์นลี่ย์สถิติสุดแย่มาเยือนที่ เอติฮัด 4 ครั้งโดนยิงไป 20 ประตูทุกรายการ รั้งอันดับ 17 มี 5 คะแนน เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา

ศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ประจำวันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2563 ที่สนาม เอติฮัด สเตเดี้ยม เป็นการพบกันระหว่าง แมนฯ ซิตี้ ทีมอันดับ 11 พบ เบิร์นลีย์ อันดับ 17 แมนฯ ซิตี้ ของกุนซือ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เกมนี้ไร้ปัญหาการจัดทัพส่งสามแนวรุกอย่าง เฟร์ราน ตอร์เรส, ริยาด มาห์เรซ และ กาเบรียล เชซุส ลงล่าตาข่าย โดยมี เควิน เดอ บรอยน์ รับบทเพลเมคเกอร์ตามเดิม ด้าน เบิร์นลีย์ ของ ฌอน ไดช์ เพิ่งพาทีมคว้าชัยนัดแรก เกมนี้มีปัญหาการจัดทัพเมื่อไร้ นิค โป๊ป นายด่านตัวหลักที่มีอาการเจ็บ โดยเป็น ไบลี่ พีค็อค-ฟาร์เรลล์ ที่ได้ลงเฝ้าเสาแทน ครึ่งแรกเริ่มเกมมา 5 นาที แมนซิตี้ ได้ทักทายก่อน จากจังหวะที่ เฟร์ราน ตอร์เรส ได้บอลบริเวณเส้นเขตโทษก่อนจะตัดสินใจปั่นด้วยซ้าย แต่ผิดเหลี่ยมบอลเหินข้ามคานไปไกล ก่อนที่นาทีถัดมา แมนซิตี้ จะมาได้ประตูขึ้นนำ 1-0 จากจังหวะตัดบอลได้บริเวณกลางสนามบอลมาถึง เควิน เดอ บรอยน์ ก่อนจะไหลไปฝั่งขวาให้ ริยาด มาห์เรซ หลุดมาซัดจ่อๆด้วยซ้ายในเขตโทษเข้าประตูไป ในนาทีที่ 6 

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไล่ถล่ม เบิร์นลี่ย์ ยับเยิน 5-0 

จากนั้นยังเป็น "เรือใบสีฟ้า" ที่เดินหน้าบุกใส่ต่อเนื่อง จนมานำห่าง 2-0 ใน นาที 22 จากจังหวะที่ ไคล์ วอล์คเกอร์ ทุ่มบอลเร็วให้ ริยาด มาห์เรซ บริเวณสุดเส้นหลัง ก่อนจะใช้ความสามารถเฉพาะตัวลากตัดเข้าในไปซัดด้วยซ้าฃ้ายตามถนัดบอลพุ่งเสียบเสาไกลเข้าไปอย่างสวยงาม 

เท่านั้นไม่พอท้ายครึ่งแรก นาที 41 สกอร์ไหลเป็น 3-0 เคิวน เดอ บรอยน์ ตักบอลไปที่เสาไกลให้ เบนฌาแม็ง เมนดี้ ได้วางเท้าแปตามน้ำโล่งๆไม่เหลือ ช่วงที่เหลือไม่มีประตูเพิ่ม จบครึ่งแรก แมนฯ ซิตี้ นำ เบิร์นลีย์ สบาย 3-0 ครึ่งหลัง เป๊ป ส่ง แฟร์นันดินโญ่ ลงมาเล่นแทน โรดรี้ นาที 67 สกอร์ของเจ้าบ้านไหลเป็น 4-0 จากจังหวะขึ้นมาทางขวาของ กุนโดกัน ไหลสั้นให้  ไคล์ วอล์คเกอร์ ถึงเส้นหลังก่อนปาดมาให้ กาเบรียล เชซุส ดีดสั้นๆเข้ากลางให้ เฟร์ราน ตอร์เรส วิ่งมาซัดด้วยขวาเสาแรกเข้าไป villagerestaurantgroup.com อีกสองนาทีถัดมา "เรือใบสีฟ้า" หนีห่างเป็น 5-0 เควิน เดอ บรอยน์ แทงบอลลึกออกซ้ายให้ ฟิล โฟเด้น วิ่งมาครอสด้วยซ้ายไปเสาไกลให้ ริยาด มาห์เรซ โขกจมตาข่าย เป็นแฮตทริกของปีกชาวแอลจีเรียในเกมนี้ และเป็นแฮตทริกในรอบ 4 ปีนับแต่ปี 2016 ที่พา เลสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก

เท่านั้นยังไม่พอ นาที 76 เควิน เดอ บรอยด์ ปาดมาในกรอบ 6 หลาให้ กาเบรียล เชซุส ยิงไปติดเซฟของ ไบลี่ พีค็อค-ฟาร์เรลล์ ก่อนบอลชนเข่านายด่านทีมเยือนเข้าประตูตัวเองไป แต่ผู้ตัดสินได้รับสัญญาณจากห้อง VAR ว่าเป็นจังหวะล้ำหน้าของ เชซุส ไปก่อนทำให้เจ้าบ้านชวดได้เม็ดที่หกอย่างน่าเสียดาย จบเกม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไล่ถล่ม เบิร์นลี่ย์ ยับเยิน 5-0 เก็บสามแต้มมีเพิ่มเป็น 15 คะแนน ขยัยแซงขึ้นมาอยู่อันดับ 8 ส่วน เบิร์นลี่ย์ อยู่อันดับ 17 มีอยู่ 5 คะแนน

โวล์ฟสบวร์กขย้ำชัยเบรเมนสุดมันส์ไร้พ่ายเกมลีก9นัดติด

โวล์ฟสบวร์ก vs แวร์เดอร์ เบรเมน 

"หมาป่าเมืองเบียร์" โวล์ฟสบวร์ก ยืดสถิติไม่แพ้ใครในลีกเป็น 9 เกมติดต่อกัน วูท เวกฮอร์สท์ หัวหอกตัวเก่งจัดสองลูกพาทีมสอยชัย "นกนางนวล" เบรเมน ที่ไม่สามารถเก็บสามแต้มได้เลยเป็นนัดที่ 6 เอาไปแล้ว 5-3 ส่งเจ้าถิ่นขึ้นรั้งที่ 5 ของตาราง ในการแข่งขันศึกฟุตบอลบุนเดสลีกา เยอรมัน คืนวันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

ศึกฟุตบอลบุนเดสลีกา เยอรมัน คืนวันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายนที่ผ่านมา "หมาป่าเมืองเบียร์" โวล์ฟสบวร์ก ผลงานกำลังถือว่ายอดเยี่ยมไม่แพ้ใครในลีก 8 เกมติด โอลิเวอร์ กลาสเนอร์ เทรนเนอร์เจ้าถิ่นหวังทีมคว้าชัยขยับรั้งที่ 5 เพราะประตูได้-เสียเป็นรอง ไลป์ซิก อันดับ 4 มี "โยซิป เบรกาโล่" หัวหอกคนสำคัญพร้อมพังสกอร์ "นกนางนวล" เบรเมน ทีมเยือนที่หนักเสมอมาถึง 5 นัดติด โฟลเรียน โคห์เฟลด์ กุนซือของทีมใส่ "มิลอต ราชิชา" ดาวยิงตัวอันตรายยืนหน้าเป้ากำราบคู่แข่ง โดยก่อนเกมมีการยืนไว้อาลัยแด่ ดีเอโก้ มาราโดน่า ที่เสียชีวิตเมื่อสองวันก่อน นกนางนวลนำนาทีที่ 13 ยูยะ โอซาโกะ วิ่งกดดันก่อนฉกบอลจาก มักแซงต์ ลาครัวซ์ ลากบอลมาทางด้านซ้าย จ่ายยัดเข้ามาให้ เลโอนาร์โด้ บิทเท่นคอร์ท สปีดมาหวดในเขตโทษ 6 หลาเข้าประตูไป เจ้าบ้านตีเจ๊านาทีที่ 22 มักแซงต์ ลาครัวซ์ ดันขึ้นสูงมาจ่ายบอลขึ้นหน้าให้ รีดเล่อ บาคู เลี้ยงมาถึงตรงวงกลมกรอบเขตโทษ ตัดสินใจซัดด้วยเท้าซ้าย บอลพุ่งหนีมือนายทวารทีมเยือนซุกตาข่ายอย่างแม่นยำ หมาป่าเมืองเบียร์นำบ้างนาทีที่ 25 โยซิป เบรกาโล่ แตะบอลเล่นลูกฟรีคิกสั้น เลี้ยงลุยมาทางเขตโทษด้านซ้าย ล็อกหลอกผู้เล่นเบรเมน หยอดเข้ากลางและเป็น จอห์น บรู๊คส์ ปราการหลังเติมมาโขกบอลส่งสู้ก้นตาข่ายให้เจ้าถิ่นแซงนำ เบรเมนตามทันนาทีที่ 36 ลุดวิก ออกุสตินส์สัน เปิดลูกเตะมุมทางขวา เควิน เมอห์วัลด์ ตัสำรองที่เพิ่งลงแค่สี่นาที สปีดมาสะบัดหัวโหม่งตรงเขตโทษ 6 หลาเสาแรก บอลย้อยโด่งเข้าเสียบประตูทางเสาด้านซ้ายอย่างสุดยอด

โวล์ฟสบวร์ก เอาชนะ แวร์เดอร์ เบรเมน 5-3

แต่แล้วนาทีที่ 37 มักแซงต์ ลาครัวซ์ โยนบอลยาวจากแดนหลังขึ้นหน้ามาที่ อัดเมียร์ เมห์เมดี้ พักอกบอลลงริมกรอบเขตโทษทางขวา ส่งสั้นให้ โยซิป เบรกาโล่ ตบเข้ากลางเขตโทษ บอลเลยเข้าทาง วูท เวกฮอร์สท์ ทิ้งตัวซัดบอลตุงตาข่ายให้ โวล์ฟสบวร์ก นำเมื่อจบครึ่งแรก

 ทีมเยือนมีดวงนาทีที่ 49 มิลอต ราชิชา กระชากบอลหนี จอห์น บรู๊คส์ มาทางกลางสนาม ตบบอลหวังเปิดเข้าเขตโทษทว่าบอลแฉลบแนวรับเจ้าถิ่น เปลี่ยนทางเข้าหากรอบประตูแล้วเช็คเสาทางซ้ายเข้าประตู กรรมการฟังสัญญาณวีเออาร์ว่ามีการล้ำหน้าหรือไม่ ก่อนชี้เป็นลูกตีเสมอของเบรเมน ต่อมานาทีที่ 56 เรนาโต้ ชเตฟเฟ่น ไหลบอลสั้นเข้ากลางให้ ซาเวอร์ ชลาเงอร์ จ่ายต่อไปที่ มักซิมิเลี่ยน อาร์โนลด์ วางเท้าส่อไกลนอกกรอบเขตโทษบอลออกข้างกรอบประตูด้านขวาไปแบบพอมีลุ้น นกนางนวลหวิดแซงนำนาทีที่ 59 มิลอต ราชิชา รับบอลจากเพื่อนร่วมทีม กระชากมาหน้ากรอบเขตโทษทางซ้าย ลองหวดทันที บอลพุ่งออกข้างเสาแรกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น vorthosforum.com เจ้าถิ่นเฮอีกนาทีที่ 76 มักซิมิเลี่ยน ฟิลิปป์ แทงบอลออกข้างมาที่ เฌอโรม รุสซิยง ฟูลแบ็กเติมมาครอสบอลทิ้งในเขตโทษประมาณ 8 หลาก่อนเป็น วูท เวกฮอร์สท์ กระโดดโขกบอลส่งเข้าซุกประตูเป็นลุกที่สองของเจ้าตัวเกมนี้ 

หมาป่าเมืองเบียร์ได้เปรียบตัวผู้เล่นเมื่อ เควิน เมอห์วัลด์ แข้งสำรองเบรเมนถูกใบเหลืองสองใบ ไล่ออกจากสนามอีกสี่นาทีต่อมา ก่อนเป็น บาร์โตส์ซ เบียเล็ค ตัวสำรองลงมาปิดท้ายสกอร์นาทีที่ 90+5 จบเกม โวล์ฟสบวร์ก เอาชนะ แวร์เดอร์ เบรเมน 5-3 ขยับคะแนนขึ้นรั้งที่ 5 ของตาราง

เมื่อ มาราโดน่า ขัดใจต้นสังกัดเพื่อสังคม

ความตั้งใจทำเพื่อสังคมของ มาราโดน่า 

สำหรับแฟนบอลหลายคนแล้วนั้น ดีเอโก้ มาราโดน่า ตำนานดาวเตะชาวอาร์เจนไตน์ อาจจะเป็นคนที่เข้าขั้น "แบดบอย" จากการที่เขาเคยแสดงพฤติกรรมแนวห่ามๆ แบบเกิน 100 เปอร์เซ็นต์ทั้งในและนอกสนาม แถมเจ้าตัวยังเคยเล่นสารเสพติดจนกลายเป็นข่าวใหญ่ในโลกลูกหนังด้วย

อย่างไรก็ตาม อีกมุมหนึ่ง มาราโดน่า ก็เป็นคนที่ใจกว้างและพร้อมทำเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมเช่นกัน หากเจอคนที่กำลังเจอกับความยากลำบากแล้วนั้น "เสือเตี้ย" ก็พร้อมให้ความช่วยเหลือคนเหล่านั้นอย่างเต็มที่ เพราะเขาเข้าใจดีว่าคนเหล่านั้นต้องเจอกับปัญหามากแค่ไหน เนื่องจากเจ้าตัวก็เคยมีชีวิตที่ยากจนในระดับหนึ่งมาก่อน ความตั้งใจทำเพื่อสังคมของ มาราโดน่า ถึงขั้นทำให้เขาไปเล่นเกมการกุศลที่มีสภาพสนามแย่สุดๆ ทั้งที่ตอนนั้นเจ้าตัวเป็นสตาร์ดังระดับโลกแล้ว แถมเขายังทำอย่างนั้นโดยที่ขัดกับความต้องการของ นาโปลี สโมสรที่เป็นต้นสังกัดของตัวเองด้วย เรื่องของเรื่องคือย้อนกลับไปในปี 1984 มาราโดน่า เพิ่งย้ายจาก บาร์เซโลน่า มาอยู่กับ นาโปลี ด้วยค่าตัวสูงเป็นสถิติโลกในตอนนั้นที่ 6.9 ล้านปอนด์ แถมเขายังได้รับการเปิดตัวสมกับการเป็นสตาร์ดังระดับโลกด้วย villageofwilliamsville.com เพราะมีแฟนบอลมาร่วมชมพิธีเปิดตัวของเขามากถึง 75,000 คน หลังจากเล่นให้ทีมมาได้ราว 6 เดือน จู่ๆ วันหนึ่งก็มีนักเตะจากทีมสำรองของ นาโปลี ที่เข้าไปหา มาราโดน่า เพื่อขอให้เขาไปช่วยเล่นเกมการกุศลในย่านอาแชร์ร่า ซึ่งว่ากันว่าเป็นย่าานที่ยากจนที่สุดของเมืองเนเปิ้ลส์  โดยที่แข้งคนดังกล่าวได้รับการอ้อนวอนมาจากชายนิรนามคนหนึ่งอีกที

ขัดใจต้นสังกัดเพื่อสังคม

สาเหตุที่ชายนิรนามคนนั้นอยากให้ มาราโดน่า มาเล่นเกมการกุศลนัดที่ว่านั้น เป็นเพราะเกมดังกล่าวจัดขึ้นโดยที่หวังจะระดมทุนเพื่อหาค่าผ่าตัดให้กับลูกชายของเขาที่กำลังป่วยหนัก แถมมันจำเป็นต้องเดินทางไปทำการผ่าตัดที่ประเทศฝรั่งเศสด้วย โดยหากไม่มีการรับมีดหมอแล้วล่ะก็ เด็กคนดังกล่าวก็อาจจะเสียชีวิตได้เลย

พอได้ยินแบบนั้น มาราโดน่า ก็ตอบตกลงที่จะเล่นเกมการกุศลเกมนี้ทันที แน่นอนว่าข่าวนี้ทำให้พ่อของเด็กคนนั้นดีใจมากๆ แต่ในทางตรงกันข้าม คอร์ราโด้ แฟร์ไลโน่ ประธาน นาโปลี ในตอนนั้นไม่ปลื้มเท่าไหร่ เพราะเขาไม่อยากเสี่ยงให้ซูเปอร์สตาร์ของทีมต้องมาได้รับบาดเจ็บจากการไปเล่นเกมที่ส่วนใหญ่แล้วจะมีเพียงนักเตะสมัครเล่นที่ลงไปอยู่ในสนาม ถึงกระนั้น มาราโดน่า ก็ไม่สนคำห้ามดังกล่าว แถมเขายังถึงขั้นควักกระเป๋าจ่ายค่าประกันด้วยตัวเอง เพื่อที่จะได้ให้ทีมยอมปล่อยเขาไปเล่นเกมนี้ด้วย ซึ่งว่ากันว่าเขาพูดอีกว่า "ช่างหัว ลอยด์ส ออฟ ลอนดอน (บริษัทประกันภัย) มันสิ มันจำเป็นต้องเล่นเกมนี้เพื่อเด็กคนนั้น" สุดท้ายแล้ว นาโปลี ก็ยอมปล่อย มาราโดน่า มาเล่นเกมนี้ ซึ่งทันทีที่ "เสือเตี้ย" เดินทางไปถึงสถานที่จัดการแข่งขัน เขาก็ได้พบกับสนามแข่งที่เต็มไปด้วยโคลน ต่างกับสนามฟุตบอลมาตรฐานสูงที่เขาเล่นในเกมฟุตบอลอาชีพแบบฟ้ากับเหว ขณะที่สื่อบางเจ้าก็ยังถึงขั้นบอกว่านี่มันเหมือนกับเป็นแปลงปลูกมันฝรั่งมากกว่าสนามบอลซะอีก ถึงกระนั้น มาราโดน่า ก็ไม่ปริปากบ่นแม้แต่นิดเดียว เขาไปอบอุ่นร่างกายที่ลานจอดรถท่ามกลางอากาซที่หนาวเหน็บ, ถ่ายรูปกับเด็กๆ ที่สวมเสื้อกันหนาวมาหนาเตอะ และพอลงไปเล่นในสนาม เขาก็ยังเล่นแบบจริงจังประหนึ่งลงเล่นเกมระดับอาชีพจริงๆ แถมยังทำประตูสวยๆ ได้ด้วย

ทั้งนี้ ในเกมนั้นมีแฟนบอลมาชมการแข่งขันถึง 10,000 คน และสุดท้ายมันก็สามารถระดมทุนได้ 8,000 ปอนด์ ทำให้เด็กคนดังกล่าวสามารถเดินทางไปรับการผ่าตัดที่ประเทศฝรั่งเศสได้ และทุกอย่างก็จบลงแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง

เปิดลิสต์นักเตะเคยเป็น "นิว มาราโดน่า"

ในวันที่โลกนี้ ไม่มีผู้ชายที่ชื่อ ดีเอโก้ มาราโดน่า ใช้ชีวิตอยู่อีกต่อไป แต่ความทรงจำ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเคยสร้างชื่อไว้ จะไม่มีวันเลือนหายไปอย่างแน่นอน

ดีเอโก้ มาราโดน่า คือยอดนักฟุตบอลที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นดาวเตะอันดับหนึ่งของโลก เขาพาทีมชาติอาร์เจนติน่า ครองแชมป์โลกเมื่อปี 1986 ฟอร์มโดดเด่นกับ บาร์เซโลน่า และปลุกเสก นาโปลี ขึ้นเบอร์หนึ่ง กัลโช่ เซเรีย อา ได้ถึง 2 สมัย ซึ่ง มาราโดน่า ไม่ได้เป็นแค่ยอดนักเตะของ อาร์เจนติน่า เท่านั้น แต่ยังเป็นยอดนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดเท่าที่โลกนี้เคยมีมา ความสำเร็จของ มาราโดน่า ย่อมปูทางไว้ให้คนรุ่นหลังเลือด ฟ้า-ขาว ได้เดินตาม แน่นอนว่ามีผู้เล่นหลายคนเคยได้รับการยกย่องว่าจะก้าวขึ้นมาเทียบชั้น "เสือเตี้ย" อย่างไรก็ตาม หลายคนก็ไม่อาจต้านแรงเสียดทานความคาดหวังได้ แต่ก็มีบางรายที่ก้าวขึ้นมาเป็นตัวของตัวเอง แม้จะไม่ได้ถึงขั้น มาราโดน่า ก็ตาม

ในลิสต์รายชื่อนี้ คือการรวบรวมบรรดาผู้เล่นที่ได้รับฉายา "นิว มาราโดน่า" ไล่ตั้งแต่คนแรกจนถึงคนสุดท้าย จะมีใครบ้างไปดูกันได้เลย ดีเอโก้ ลาตอร์เร่ ให้หลังจากที่ ดีเอโก้ มาราโดเน่ ส่ง อาร์เจนติน่า คว้าแชมป์โลก เมื่อปี 1986 สื่อต่างๆ ก็คาดหวังว่าจะมีทายาทของ "เสือเตี้ย" มาสืบทอด ผู้ชายคนแรกที่ได้รับการถูกเลือกคือ ดีเอโก้ ลาตอร์เร่ ที่อายุน้อยกว่า มาราโดน่า 9 ปี ความเหมือนกันของทั้งสองคน มีตั้งแต่รูปร่างลักษณะ โครงสร้างร่างกาย รวมไปถึงสวมหมายเลขเดียวกันสีเสื้อ โบคา จูเนียร์ สไตล์การเล่นของ ลาตอร์เร่ พา "ฟ้า-ขาว" ประสบความสำเร็จใน โกปา อเมริกา เมื่อปี 1991 จนได้รับความสนใจจากทีมในยุโรป ซึ่งตอนนั้นถือว่า ลาตอร์เร่ พุ่งเข้าสู่แสงสปอตไลท์ได้อย่างรวดเร็ว ปี 1992 ฟิออเรนติน่า บรรลุข้อตกลงคว้าตัว ลาตอร์เร่ พร้อมๆ กับคู่ขาของเขาในทีมโบคา จูเนียร์ นั่นคือ กาเบรียล บาติสตูต้า อย่างไรก็ตาม ถึงตอนนี้แฟนบอลม่วงมหากาฬจดจำ บาติสตูต้า ในฐานะ ตำนานคนหนึ่งของทีม แต่ขณะที่ ลอตอร์เร่ เหมือนเป็นเพียงแค่สัญญาหน้ากระดาษ บาติสตูต้า ก้าวไปเป็นยอดนักเตะที่ดีที่สุดของ ฟิออเรนติน่า ส่วน ลาตอร์เร่ นั้นกลับได้ใช้เวลาที่ ฟลอเรนซ์ แค่เพียงปีเดียว ก่อนจะย้ายไป เตเนริเฟ่ ในประเทศสเปน จากนั้นชีวิตของ ลาตอร์เร่ ก็ค่อยๆ ถอยหลังลง เขาใช้เวลา 13 ปีโลดแล่นหากินกับเกมฟุตบอล โดยการย้ายทีมแต่ละครั้ง แทบไม่มีเรื่องอะไรให้น่าตื่นเต้นอีกเลย อาเรียล ออร์เตก้า หลังความล้มเหลวของ ลาตอร์เร่ ทั้งแฟนบอล และสื่อต่างๆ ก็ระมัดระวังตัวมากขึ้นกับการยกย่องผู้เล่นที่จะนำไปเปรียบเทียบกับ มาราโดน่า แต่เด็กหนุ่มที่ชื่อ อาเรียล ออร์เตก้า ฉายแสงขึ้นมาจนยากเกินกว่าที่จะเพิกเฉย ออร์เตก้า ไม่เพียงแต่มีสไตล์การเล่นคล้ายกับ มาราโดน่า เท่านั้น แต่เขายังมีบุคลิกส่วนตัวที่คล้ายกับแข้งรุ่นพี่ที่แก่กว่าเขา 14 ปี ในขณะที่ มาราโดน่า ยังรักษาฟอร์มปีศาจให้อยู่กับตัวเองได้ แต่ ออร์เตก้า กลับทำไม่ได้แบบนั้น เส้นทางชีวิตของ ออร์เตก้า ได้รับผลกระทบจากโรคพิษสุราเรื้อรัง หลังร่ายมนต์สะกดคนดูในสีเสื้อ ริเวอร์ เพลท จนเป็นที่รู้จักในชื่อ "El Burrito" เขาได้รับข้อเสนอก้อนโตจากสโมสรบาเลนเซีย ในลา ลีกา สเปน ทว่า ออร์เตก้า ใช้เวลาเล่นในถิ่น เมสตาย่า ได้ไม่นาน เพราะเทรนเนอร์อย่าง เคลาดิโอ รานิเอรี่ ไม่ปลื้มทัศนคติของเขาสักเท่าไหร่ จากนั้น ออร์เตก้า ก็ข้ามฟากมาเล่นใน อิตาลี โดยมี ซามพ์โดเรีย ให้การต้อนรับ แล้วสถานีต่อมาก็คือ ปาร์ม่า และทั้งสองทีมนี้ ออร์เตก้า ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่ จนท้ายสุด ออร์เตก้า ย้ายกลับบ้านเกิดมาเล่นให้ ริเวอร์เพลท อีกครั้งเพื่อชดใช้หนี้ที่คงค้างอยู่ ปี 2002 ออร์เตก้า กลับไป ยุโรป หนที่สอง คราวนี้มาอยู่กับ เฟเนร์บาเช่ แม้จะเริ่มต้นได้สวยงามกับที่นี่ แต่เขากลับตัดสินใจว่าดินแดนไก่งวงไม่ได้เป็นที่ที่เหมาะสมกับตัวเองสักเท่าไหร่ นับตั้งแต่ ออร์เตก้า แจ้งเกิดกับฟุตบอลอาร์เจนติน่า แฟนบอลส่วนใญ่จดจำเขาเฉพาะยามเล่นในนามทีมชาติเท่านั้น เส้นทางของเขากับทีมชาติเริ่มต้นตอนอายุแค่ 17 ปี นั่นคือสิ่งที่บ่งบอกได้ว่าจริงๆ แล้วพรสวรรค์ของ ออร์เตก้า มีมากแค่ไหน และภาพจำของใครหลายคน คือชอตที่ ออร์เตก้า เอาหัวโขกใส่ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ในศึกฟุตบอลโลก ฟร้องซ์'98 รอบก่อนรองชนะเลิศ มาร์เซโล่า กัลลาร์โด้ ไม่นานนักหลังจากที่ ออร์เตก้า บินไปเล่นใน ยุโรป อะคาเดมี่ ของ ริเวอร์เพลท ก็ถือกำเนิดเพลย์เมคเกอร์ที่มีความคล้ายคลึง มาราโดน่า แม้จะมีรูปร่างที่เตี้ย และค่อนข้างท้วมตัน แต่เทคนิคของ มาร์เซโล่ กัลลาร์โด้ โดดเด่นสุดๆ จนไม่อาจเพิกเฉยต่อการเปรียบเทียบกับดาวเตะรุ่นพี่ ซึ่งบางครั้งดูเหมือนว่าการเล่นของ กัลลาร์โด้ จะดีกว่า มาราโดน่า ด้วยซ้ำไป "El Muñeco" ร่ายมนต์สะกดบนเวทีฟุตบอลยุโรป กับ โมนาโก ในช่วงแรก ก่อนจะหยุดชะงักในยุคของ ดีดิเย่ร์ เดอส์ชองส์ กัลลาร์โด้ กลับมาพักใจกับ ริเวอร์เพลท ช่วงสั้นๆ ก่อนจะบินไปเล่น ลีก เอิง อีกครั้ง กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง แต่ก็ไม่วายเกิดปัญหาจนทำให้อยู่ที่นี่ได้ไม่นาน ปี 2008 กัลลาร์โด้ ย้ายซบ ดีซี ยูไนเต็ด ใน เมเจอร์ลีก สหรัฐฯ และเป็นผู้เล่นที่ได้รับค่าจ้างแพงสุดลำดับ 3 ของลีก การย้ายมาเล่นในถิ่นเมืองลุงแซมของ กัลลาร์โด้ ได้รับการเชิดชูว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ เมเจอร์ลีก ด้วยการใช้คำว่า "นิว มาราโดน่า" เป็นตัวดึงดูดความสนใจ อย่างไรก็ตาม กัลลาร์โด้ ได้รับบาดเจ็บกับการเล่นที่ อเมริกา และเขากลับไป ริเวอร์เพลท อีกรอบ และปิดฉากเส้นทางอาชีพกับ นาซิอองนาล ใน อุรุกวัย เมื่อปี 2011 และเลื่อนขั้นเป็นผู้จัดการทีม จนพา นาซิอองนาล คว้าแชมป์ลีกได้ตั้งแต่ปีแรกที่คุมบังเหียน us-trucksource.com ฮวน โรมัน ริเกลเม่ ทั้ง ฮวน โรมัน ริเกลเม่ และ ดีเอโก้ มาราโดเน่ มีเส้นทางอาชีพที่คล้ายกันมาก แต่ก็มีหลายอย่างที่แตกต่างกัน ขณะที่ มาราโดน่า รูปร่างเตี้ย และมีนิสัยดุ ริเกลเม่ กลับรูปร่างสูง และดูสง่างาม ขณะที่ มาราโดน่า มักจะมีออร่าดึงดูดให้คนเข้ามาสนใจ แต่ ริเกลเม่ กลับเป็นคนค่อนข้างเงียบ และสันโดษ ทว่าการย้ายจาก โบคา จูเนียร์ เพื่อมุ่งหน้าสู่ บาร์เซโลน่า คือเรื่องเดียวที่ทั้งคู่มีเหมือนกัน ที่ บาร์เซโลน่า ริเกลเม่ ตกอยู่ใต้ร่มเงาของ โรนัลดินโญ่ ก่อนที่เขาจะย้ายไปโชว์ฟอร์มโดดเด่นกับ บียาร์เรอัล แล้วเซ็นสัญญากับ "เยลโล่ ซับมารีน" เป็นการถาวร และหลังจากอยู่ที่นี่ 4 ปีเขาก็ย้ายไปอยู่กับ โบคา จูเนียร์ คำรบสอง จนพาทีมยึดครองความยิ่งใหญ่ในลีกอาร์เจนฯ และอเมริกาใต้ได้อีกครั้ง แม้ว่า ริเกลเม่ จะไม่ได้ก้าวไปถึงจุดสูงสุดอย่างที่หลายคนคาดหวังเอาไว้ แต่ก็นับว่า ริเกลเม่ ประสบความสำเร็จกับเส้นทางอาชีพลูกหนัง เขาเป็นที่จดจำของแฟนบอล บียาร์เรอัล และ โบคา จูเนียร์ โดยที่สโมสรดังแห่งแดน "ฟ้า-ขาว" ได้สร้างรูปปั้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ ริเกลเม่ ซึ่งถือว่าเป็นผู้เล่นคนที่สองที่ได้รับเกียรติ ส่วนคนแรกน่ะเหรอ... ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก... ดีเอโก้ มาราโดน่า นั่นเอง

"นิว มาราโดน่า"

ปาโบล ไอมาร์ อดีตเด็กเทพของเกมฟุตบอลดัง Championship Manager 01-02 แต่กลับมีเส้นทางอาชีพบนชีวิตจริงที่ไม่เฉิดฉายยาวนานเท่าไหร่ ตอนที่ ปาโบล ไอมาร์ ย้ายเข้าสู่ บาเลนเซีย เขาคือนักเตะดาวโรจน์ที่มีทุกอย่างเหมือนที่ มาราโดน่า มี ไม่ว่าจะความเร็ว, ความฉลาด และการครองบอล จริงๆ แล้วการเริ่มต้นอาชีพของ ไอมาร์ บนแผ่นดินยุโรป นับว่าประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ไม่เหมือน "นิว มาราโดน่า" คนอื่นๆ ก่อนหน้านี้ ไอมาร์ พา "ไอ้ค้างคาว" คว้าแชมป์ ลา ลีกา 2 สมัย และพาทีมเข้าสู่นัดชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ได้อีก 1 ครั้ง อย่างไรก็ตาม เส้นทางอาชีพของ ไอมาร์ ต้องมาสะดุดจากอาการบาดเจ็บที่เข้ามาเล่นงาน และโรคต่างๆ ที่เข้ามารุมเร้าจนทำให้เขาหลุดฟอร์มไปแบบรวดเร็ว ปี 2008 ไอมาร์ ย้ายไปอยู่ เบนฟิก้า และพยายามจะตั้งต้นใหม่ที่ดินแดนฝอยทอง ซึ่งมี ฮาเวียร์ ซาบิโอล่า เพื่อนชาวอาร์เจนไตน์ อยู่ที่นี่อีกหนึ่งคน เคมีระหว่าง ไอมาร์ กับ ซาบิโอล่า เข้ากันดีจนพา "เหยี่ยวลิสบอน" คว้าแชมป์ลีกในปี 2009 และได้กลับไปเล่นเวทียุโรป ถ้วยใหญ่ได้อีกครั้ง ไอมาร์ ถูกจดจำในฐานะนักเตะที่ฉายแสงขึ้นมาวูบเดียว แล้วหายวับไปในพริบตา

ฮาเวียร์ ซาบิโอล่า อดีตผู้เล่นคนต่อไปคือคนที่แฟนบอลส่วนใหญ่คุ้นเคย เพราะเขาก้าวขึ้นมาเก่งกาจได้อย่างรวดเร็วในศึกฟุตบอลโลก รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี ฮาเวียร์ ซาบิโอล่า เป็นกองหน้าที่ถูกนำไปเทียบเคียงกับ มาราโดน่า ตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งแฟนๆ และสื่อต่างๆ พากันคาดว่าเขาจะแกนหลักของทีมชาติอาร์เจนติน่า ไปอีกหลายปี ปี 2001 "El Conejo" หรือฉายาเจ้ากระต่ายน้อย ย้ายไปอยู่กับ บาร์เซโลน่า หลังโชว์ฟอร์มยิงระเบิดให้กับ ริเวอร์เพลท ซัดไป 45 ลูก จาก 86 นัด และได้รับรางวัลแข้งอเมริกาใต้แห่งปีตอนอายุแค่ 18 ปี ซาบิโอล่า เริ่มต้นได้อย่างมีความสุขกับ บาร์ซ่า ในปีแรกเขายิงได้ถึง 21 ประตู ซึ่งตลอดการเล่นให้ "เจ้าบุญทุ่ม" สามปีนั้น เขามีค่าเฉลี่ยยิงประตูได้ถึง 20 ลูกต่อ 1 ฤดูกาล แน่นอนว่ามันยากมากที่จะบอกว่าเขาล้มเหลวกับ บาร์เซโลน่า แต่ ซาบิโอล่า กลับกลายเป็นส่วนเกินของทีม เพื่อหลีกทางให้กับ ซามูเอล เอโต้ ด้วยเหตุผลที่ว่ามีโควตานักเตะนอกอียูจำนวนจำกัด ซาบิโอล่า ถูกปล่อยยืมไปยัง โมนาโก และจากนั้นก็ซบ เซบีย่า จนเมื่อหมดสัญญา หลายทีมมองว่าเขายังมีศักยภาพที่จะโลดแล่นระดับสูง จนได้ย้ายไปอยู่ เรอัล มาดริด เป็นเวลา 2 ปี แล้วหลังจากเล่นในถิ่น ซานติอาโก้ เบร์นาเบว เขาก็ย้ายไปผนึกกำลังกับ ปาโบล ไอมาร์ ที่ เบนฟิก้า จนพาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุด อย่างที่กล่าวไปในคนที่แล้ว คาร์ลอส มาริเนลลี่ อาจฟังดูแปลกว่าทำไม "นิว มาราโดน่า" ถึงเริ่มต้นค้าแข้งอาชีพกับ มิดเดิลสโบรส์ สโมสรระดับกลางๆ ของ อังกฤษ ณ ขณะนั้น ความเชื่อมโยงเล็กน้อยคือการที่ คาร์ลอส มาริเนลลี่ เป็นคนอาร์เจนไตน์ แล้วถูกเซ็นสัญญามาจาก โบคา จูเนียร์ และลงเล่นในตำแหน่งเดียวกันกับ มาราโดน่า ซึ่งเอาจริงๆ แล้ว มาร์เนลลี่ เองไม่เคยใกล้เคียงกับคำว่า "นิว มาราโดน่า" เลย แฟนๆ โบโร่ คือผู้อยู่เบื้องหลังหลังจากได้อิ่มเอมกับ จูนินโญ่ ดาวเตะร่างจิ๋วชาวแซมบ้า ซึ่งการที่ทีมได้ดาวเตะจากละตินมาร่วมทีมอีกคน ก็ทำให้พวกเขาอดคิดไม่ได้ถึงความตื่นเต้นที่รออยู่ ตลอด 3 ปีกับ "สิงห์แดง" มาริเนลลี่ ลงเล่นไป 43 นัด และยิงได้แค่ 3 ประตู นั่นก็เพียงพอที่เขาไม่สามารถอยู่กับทีมได้นานกว่านี้อีกแล้ว มาริเนลลี่ พยายามตั้งต้นใหม่ แต่ก็ล้มเหลว ทั้งใน อิตาลี, โปรตุเกส, เมเจอร์ลีก, โคลอมเบีย, ฮังการี หรือแม้แต่ลีกระดับสองของบ้านเกิดก็ตาม อันเดรส ดาเลสซานโดร ขณะที่สื่อทางตอนเหนือต่างยกย่อง คาร์ลอส มาริเนลลี่ ว่าเป็น "นิว มาราโดน่า" แต่ทาง ลอนดอน ก็มี อันเดรส ดาเลสซานโดร เชิดหน้าชูตา ดาเลสซานโดร เคยใช้เวลา 2 สัปดาห์ที่ฝึกซ้อมกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ตอนยุคของ แฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์ เมื่อปี 2001 ก็สุดท้ายเขาไม่ได้ไปต่อ จนต้องกลับไป ริเวอร์เพลท เพื่อพัฒนาฝีเท้าตัวเองเพิ่มอีก จนในที่สุด "El Cabezon" ย้ายไปอยู่กับ โวล์ฟสบวร์ก แห่งศึก บุนเดสลีกา ในปี 2003 ด้วยค่าตัว 9 ล้านยูโร และประสบความสำเร็จกับที่นี่ อย่างไรก็ตาม เร้ดแนปป์ ที่เคยปฏิเสธตอนนั้น ยังคงเห็นแววในตัว ดาเลสซานโดร และติดต่อไปยังแข้งอาร์เจนไตน์ เพื่อยืมตัวมาช่วย พอร์ทสมัธ หนีตกชั้น เมื่อเดือนมกราคม ปี 2006 ดาเลสซานโดร ทำผลงานระดับสุดยอด รวมถึงทำประตูในสไตล์เดียวกับ มาราโดน่า ใส่ ชาร์ลตัน ก่อนจะย้ายไป ซาราโกซ่า ใน ลา ลีกา สเปน เวลาต่อมา แต่การย้ายมาเล่นในดินแดนกระทิงดุ เหมือนเป็นการค่อยๆ ถอยหลังลงของ ดาเลสซานโดร เขาเจอปัญหากับการที่ต้นสังกัดตกชั้นในปี 2008 แล้วตัวเองก็แพ็คกระเป๋าหนีทีมกลับบ้านเกิดใน อาร์เจนติน่า แล้วจากนั้นก็ไปเล่นลีก บราซิล กับ อินเตอร์นาซิอองนาล และประสบความสำเร็จอย่างสูงกับ แชมป์ลีก 6 สมัย และ แชมป์โกปา ลิเบอร์ตาโดเรส 1 ครั้ง คาร์ลอส เตเบซ มาถึงชื่อที่คุ้นหูกันมากขึ้น คาร์ลอส เตเบซ มีทุกอย่างที่เหมือนกับ ดีเอโก้ มาราโดน่า ทุกอย่าง ทั้งคู่มีรูปร่างเตี้ย แต่โครงสร้างแข็งแรงเหมือนกัน แถมยังมาจาก โบคา จูเนียร์ เช่นกันอีก เท่านั้นไม่พอ หัวจิตหัวใจของ เตเบซ และ มาราโดน่า ก็ไม่เป็นสองรองใคร สิ่งที่เพิ่มเติมจากตัว เตเบซ คือการที่เขาก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น ลงเล่นด้วยการทำงานหนัก ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เตเบซ และ มาราโดน่า มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ถึงแม้ฝ่ายแรกจะไม่ได้มีพรสวรรค์เทียบเท่ากับรายหลัง แต่ เตเบซ ก็มีเส้นทางอาชีพที่ดีด้วยการเป็นตัวของตัวเอง

ลิโอเนล เมสซี่ หากจะนึกถึงทายาทของ ดีเอโก้ มาราโดน่า ได้สมบูรณ์แบบที่สุด ชื่อของ ลิโอเนล เมสซี่ คือคนที่ตอบข้อสงสัยนั้นได้อย่างชัดเจน ถึงแม้ เมสซี่ จะไม่เคยลงเล่นในลีกประเทศบ้านเกิด แต่สิ่งที่เขาทำให้กับ บาร์เซโลน่า คือความสุดยอดที่คงอยู่มาตลอด 15 ปี อย่างไรก็ตาม สิ่งเดียวที่เป็นจุดด่างพร้อยของ เมสซี่ คือการที่เขายังไม่สามารถพาทีมชาติอาร์เจนติน่า คว้าแชมป์โลกได้เหมือนอย่างที่ดาวเตะผู้ล่วงลับเคยทำได้ รายชื่อคนอื่นๆ ที่ติดในลิสต์นี้ เซร์คิโอ อเกวโร่ อเซเกล ลาเวซซี่ เมาโร ซาราเต้ ดีเอโก้ บัวนาน็อตเต้ ดีเอโก้ ซิเนกร้า

ไร้แข้งหงส์! "บรูโน่-ซานโช" นำทัพเว็บไซต์ดังจัดทีมยอดเยี่ยมชปล.วีกสี่

ทีมยอดเยี่ยม ชปล.!! 

ศึกฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สัปดาห์ที่สี่ ประจำฤดูกาล 2020/21 ผ่านพ้นไปเป็นที่เรียบร้อย เมื่อคืนวันอังคารและวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งในบรรดาสโมสรตัวแทนจากอังกฤษ มีแค่ ลิเวอร์พูล ที่พบกับความปราชัย ส่วน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เชลซี ต่างคว้าชัยชนะกันอย่างพร้อมหน้า โดยเฉพาะ "ปีศาจแดง" กับ "เรือใบสีฟ้า" มีนักเตะติดทีมยอดเยี่ยมประจำสัปดาห์ของเว็บไซต์ whoscored.com ด้วย และนี่คือโฉมหน้า 11 แข้งที่ฟอร์มแจ่มสุดในแต่ละตำแหน่งจากวีกล่าสุด 

ผู้รักษาประตู : โชเซ่ ซา (โอลิมเปียกอส, เรตติ้ง 8.37) ถึงแม้เมื่อคืนวันพุธ โอลิมเปียกอส แพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คาบ้าน 0-1 แต่ นายประตูดีกรีทีมชาติโปรตุเกสวัย 27 ปี โชว์ฟอร์มป้องกันลูกยิงของทีมคู่แข่งได้สุดยอดมากๆ เพราะเซฟไปถึง 10 ครั้ง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะเป็นเกม "เรือใบสีฟ้า" เดินหน้าบุกกระหน่ำฝ่ายเดียว แบ็กขวา : ฮวน กวาดราโด้ (ยูเวนตุส, เรตติ้ง 8.32) ฟูลแบ็กชาวโคลอมเบียวัย 32 ปี ทำ 2 แอสซิสต์สำคัญ ช่วยให้ต้นสังกัดเปิดบ้านเชือดหวิว เฟเรนช์วารอส 2-1 เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยเกมนี้เจ้าตัวสร้างโอกาสรวมได้ถึง 6 ครั้ง มากสุดเหนือทุกคนในสนาม แถมยังทำงานหนักในเกมรับ ด้วยสถิติแท็กเกิ้ลชนะ 2 ครั้ง, ตัดบอล 1 ครั้ง และเคลียร์บอล 1 ครั้ง ufabet369.net เซนเตอร์แบ็ก : นิโก้ เอลเวดี้ (โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค, เรตติ้ง 8.75) กองหลังทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์วัย 24 ปี ทำได้เยี่ยมทั้งรับและรุกในเกมที่ "สิงห์หนุ่ม" เปิดบ้านยำ ชัคตาร์ โดเน็ตส์ค 4-0 เมื่อวันพุธที่ผ่านมา เพราะนอกจากขึ้นมาทำประตูช่วยให้ทีมออกนำ 1-0 แล้ว เจ้าตัวยังมีสถิติเคลียร์บอล 6 ครั้ง (มากสุดในเกม), ตัดบอล 2 ครั้ง และแท็กเกิ้ลชนะ 100% (3/3) อีกด้วย เซนเตอร์แบ็ก : มูรีโล่ แซร์เกร่า (โลโคโมทีฟ มอสโก, เรตติ้ง 8.23) นี่คือขุนพลคนสำคัญที่ช่วยต้นสังกัดบุกไปยันเสมอ แอตเลติโก มาดริด 0-0 เมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดย ปราการหลังเลือดแซมบ้าวัย 24 ปี มีสถิติเคลียร์บอลมากถึง 10 ครั้ง (มากสุดในเกม), ตัดบอล 1 หน แถมแท็กเกิ้ลชนะ 100% (2/2) อีกด้วย 

ไร้แข้งหงส์!

แบ็กซ้าย : ออสการ์ เวนด์ท (โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค, เรตติ้ง 8.80) ฟอร์มโดดเด่นไม่เป็นรองเพื่อนร่วมทีมอย่าง เอลเวดี้ เลยทีเดียว เพราะเกมที่ไล่ยำ ชัคตาร์ 4-0 นั้น ฟูลแบ็กจอมเก๋าชาวสวีดิชวัย 35 ปี มีชื่อเป็นคนทำประตูปิดท้าย และยังมีสถิติแท็กเกิ้ลชนะ 4 หน แบบ 100% ซึ่งมากสุดอันดับสองในสนาม เป็นรองแค่ สเตฟาน ไลเนอร์ เพื่อนร่วมทีม (5 ครั้ง) 

ปีกขวา : เจดอน ซานโช (โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์, เรตติ้ง 9.11) นี่คือผู้เล่นที่เรตติ้งสูงสุดในวีกที่สี่ โดยเกมที่ "เสือเหลือง" เปิดบ้านอัด คลับ บรูช เมื่อวันอังคารนั้น ซานโช โชว์ฟอร์มได้สุดยอดมากๆ เพราะเป็นคนแอสซิสต์ให้ เออร์ลิง ฮาแลนด์ ทำประตูแรก ก่อนยิงฟรีคิกสุดสวยเป็นประตู 2-0 นอกจากนี้เจ้าตัวยังสร้างโอกาสรวมได้ 4 ครั้ง (มากสุดในเกม) และยังแท็กเกิ้ลชนะ 2 หนด้วย ถือเป็นช่วงที่ ดาวเตะทีมชาติอังกฤษวัย 20 ปี กลับมาเล่นด้วยความมั่นใจอีกครั้ง มิดฟิลด์ตัวกลาง : บรูโน่ แฟร์นันด์ส (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เรตติ้ง 8.84) "เดอะ แบก" แห่งถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด อย่าง บรูโน่ ยังคงโชว์ฟอร์มได้น่าประทับใจต่อเนื่อง โดยเกมที่ "ปีศาจแดง" เปิดบ้านถล่ม อิสตันบูล บาซัคเซเฮียร์ 4-1 เมื่อวันอังคาร เจ้าตัวทำคนเดียว 2 ตุง แถมยังสร้างโอกาสได้ 3 หน ซึ่งมากสุดอันดับสองในเกม เป็นรองแค่ อเล็กซ์ เตลลิส เพื่อนร่วมทีม (4 ครั้ง) มิดฟิลด์ตัวกลาง : ไรอัน กราเฟนแบร์ช (อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม, เรตติ้ง 8.17) ดาวรุ่งชาวดัตช์วัย 18 ปี เล่นได้แจ่มสุดๆ ในเกมที่ อาแจ็กซ์ เปิดบ้านสอย เอฟซี มิดทิลแลนด์ 3-1 เมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยเป็นคนทำประตูให้ทีมขึ้นนำ 1-0 และยังโชว์พลิ้วพาบอลผ่านนักเตะทีมคู่แข่ง 3 ครั้ง ซึ่งมากสุดในสนามร่วมกับ ดาวิด เนเรส เพื่อนร่วมทีม นอกจากนี้ยังมีสถิติชนะดวลลูกกลางอากาศ 2 หน และแท็กเกิ้ลชนะ 2 ครั้งด้วย ปีกซ้าย : ฟิล โฟเด้น (แมนเชสเตอร์ ซิตี้, เรตติ้ง 8.47) สตาร์ทีมชาติอังกฤษวัย 20 ปี โดดเด่นเหลือเกินในเกมที่ "เรือใบสีฟ้า" บุกเชือด โอลิมเปียกอส 1-0 เมื่อคืนวันพุธ เพราะนอกจากเป็นคนทำประตูชัยแล้ว ยังสร้างโอกาสได้ถึง 4 ครั้ง ซึ่งมากสุดในเกม และยังเลี้ยงบอลผ่านนักเตะคู่แข่ง 4 หน มากสุดในเกมร่วมกับ กาเบรียล เชซุส เพื่อนร่วมทีม อีกด้วย 

กองหน้า : มาร์ติน เบรธเวท (บาร์เซโลน่า, เรตติ้ง 8.94) นี่คือแข้งเรตติ้งสูงสุดอันดับสองประจำสัปดาห์ โดยหัวหอกเบอร์ 9 แห่ง บาร์ซ่า มีผลงานโดดเด่นในเกมที่ต้นสังกัดบุกไปกระซวก ดินาโม เคียฟ 4-0 เมื่อวันอังคาร โดยทำ 2 ประตู กับ 1 แอสซิสต์ กองหน้า : ชิโร่ อิมโมบิเล่ (ลาซิโอ, เรตติ้ง 8.82) อิมโมบิเล่ ฟอร์มแจ่มเหลือเกิน โดยทำ 2 ประตูในเกมที่ต้นสังกัดเปิดบ้านอัด เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก 3-1 เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา แถมมีสถิติเลี้ยงบอลผ่านนักเตะทีมคู่แข่งสำเร็จ 100% (2/2 ครั้ง) ด้วย 


 

"เปเป้" โป้งเปิด!อาร์เซน่อลบุกอัดโมลด์ดับคาถิ่นลิ่วน็อคเอาท์ศึกยูโรปาลีก

อาร์เซน่อล vs โมลด์

นิโกล่าส์ เปเป้ ซัดประตูเปิดกล่องช่วย "ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล บุกไล่อัด โมลด์ เจ้าบ้านแบบไม่เกรงใจ 3-0 ทำให้ทัพปืนโตคว้าสามแต้มตามคาดพร้อมผ่านเข้าสู่รอบ 32 ทีมต่อไปได้สำเร็จ ในศึกฟุตบอล ยูโรปา ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม บี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 26 พ.ย. ที่ผ่านมา ก่อนเริ่มการแข่งขันได้มีการยืนไว้อาลัยแก่ ดีเอโก้ มาราโดน่า ตำนานนักเตะทีมชาติอาร์เจนตินา และ นาโปลี ผู้ล่วงลับในวัย 60 ปี

เพียงแค่นาทีที่ 2 อาร์เซน่อล ได้ลุ้นจดสกอร์เมื่อ เอนส์ลี่ย์ เมทแลนด์-ไนล์ส พยายามชิพบอลข้ามหัว  อันเดรียส ลินเด้ นายด่านโมลด์ ในเขตโทษทางฝั่งซ้ายแต่น้ำหนักเบาเกินไปทำให้ ลินเด้ ถอยไปคว้าบอลไว้ได้ทันเวลา มาถึงนาทีที่ 10 โมลด์ ตอบโต้กลับมาบ้างจากลูกเตะมุมเป็น สเตียน โรเด้ เกรเกอร์เซ่น ที่เติมขึ้นมาแล้วได้โฉบโขกเต็มๆ แต่ทิศทางไม่ดีสูงเกินไปทำให้เหินข้ามคานออกไปไกล สองนาทีถัดมา นิโกล่าส์ เปเป้ หวิวเบิกร่องให้ทีมเยือนเมื่อได้วอลเล่ย์ด้วยเท้าซ้ายในกรอบเขตโทษฝั่งซ้ายแบบไร้ตัวประกบแต่โดนบอลไม่ดีส่งผลให้เลยออกหลังไปไกล นาทีต่อมาทัพปืนโตพลาดได้ประตูขึ้นนำไปอย่างน่าเสียดายจากการทำชิ่งสุดสวยเริ่มจาก  ดาวิด ลุยซ์ ส่งให้  รีสส์ เนลสัน ทางเส้นข้างฝั่งซ้ายก่อน เนลสัน ทำชิ่งหนึ่งสองกับ อเล็กซองด์ ลากาแซตต์ และทำให้ เนลสัน หลุดเดี่ยวเข้าไปซ้ายไม่ถึง 10 หลาแต่ดันถูก อันเดรียส ลินเด้ ผู้รักษาประตูโมลด์ใช้เท้าป้องกันไว้ได้อย่างเหลือเชื่อ นาทีที่ 15 กลับเป็นฝั่งโมลด์ เจ้าถิ่นที่เกือบได้ประตูบ้างจากลูกเปิดยัดเข้ามาทางฝั่งซ้ายเลยมาถึง เชอริฟฟ์ ซินยาน ที่เติมขึ้นมาได้แปโล่งๆ ระยะไม่ถึง 5 หลาแต่เจ้าตัวกลับยิงสวนไปติดเซฟของ รูนาร์ อเล็กซ์ รูนาร์สสัน ก่อนที่ ชโคดราน มุสตาฟี่ จากหวดเคลียร์ออกไปพ้นเขตอันตรายในจังหวะบอลกระดอนออกมา นาทีที่ 21 อาร์เซน่อล สวนกลับไวและได้ลุ้นอีกครั้งจากจังหวะโซโล่เดี่ยวของ  นิโกล่าส์ เปเป้ ที่รับบอลจากแดนตนเองทางฝั่งขวาและกระชากพาขึ้นมาทางริมเส้นข้างก่อนตัดเข้าหากรอบเขตโทษแล้วซัดด้วยเท้าซ้ายเน้นๆ หวังเล่นทางให้บอลเสียบเสาไกลแต่ดันหลุดออกข้างไปอย่างน่าเสียดาย เลยมาถึงนาทีที่ 35 โมลด์ ได้ตอบโต้กลับขึ้นมาอีกครั้ง เอ็ตซาซ ฮุสเซน เปิดบอลโด่งจากทางฝั่งขวาเลยไปเสาไกลมี เฟรดริก อาอูร์สเนส ลอยตัวขึ้นโขกแต่โดนไม่ดีบอลหลุดออกข้างประตูไปอย่างหวาดเสียว นาทีที่ 37 รีสส์ เนลสัน แข้งปืนใหญ่พยายามใช้ความสามารถเฉพาะตัวพาบอลแหวกแข้งโมลด์เข้าไปในเขตโทษก่อนจะทิ้งตัวล้มลงผู้ตัดสินไม่ได้ว่าอะไรให้เกมดำเนินต่อไป นาทีที่ 40 ยังคงเป็นทัพอาร์เซน่อลที่ครองเกมบุกได้มากกว่า อเล็กซองด์ ลากาแซตต์ ครองบอลหน้ากรอบเขตโทษก่อนส่งต่อให้ รีสส์ เนลสัน ทีรับบอลแล้วก้มหน้ากดด้วยเท้าซ้ายทันทีหวังให้บอลโค้งเสียงมุมบนเสาไกลแต่ทำได้ไม่ดีพอบอลหลุดออกข้างไปอีกครั้ง นาทีต่อมาเป็น โมลด์ ที่โต้กลับขึ้นมาบ้างและได้ลุ้น เฟรดริก อาอูร์สเนส ส่งบอลจากหน้ากรอบเขตโทษต่อไปให้ เฮนรี่ วิงโก้ ที่เติมขึ้นมาทางฝั่งขวาก่อนตัดสินใจแปบอลเล่นทางแบบไม่จับแต่น้ำหนักยังไม่ดีพอบอลเลยออกหลังไปอย่างน่าเสียดาย จังหวะต่อเนื่องในนาทีเดียวกัน โมลด์ ยังได้ลุ้นอีกครั้ง มักนุส โวล์ฟฟ์ ไอเครม ได้ตั้งป้อมหวดเหน่งๆ แบบไร้ตัวประกบบริเวณกลางกรอบเขตโทษระยะประมาณ 19 หลาบอลพุ่งแรงทำท่าจะตรงกรอบแต่ดันไปติดหลัง  เซดริก โซอาเรส ก่อนที่บอลจะกระดอนลงพื้นแล้วไปเข้ามือ รูนาร์ อเล็กซ์ รูนาร์สสัน รับไว้ได้

หมดเวลาการครึ่งแรกยังไม่มีทีมใดทำประตูได้เสมอกันอยู่ที่ 0-0

มาลุ้นต่อครึ่งหลัง นาทีที่ 49 อาร์เซน่อลหวิดได้ประตูขึ้นนำจากลูกยิงของ นิโกล่าส์ เปเป้ บริเวณกรอบเขตโทษทางฝั่งขวาระยะประมาณ 20 หลา ที่เจ้าตัวตะบันด้วยเท้าซ้ายบอลพุ่งแรงโค้งไปชนคานอย่างจังก่อนจะตกมาโดนตัว อันเดรียส ลินเด้ นายด่านเจ้าบ้านแล้วบอลกระดอนไปเข้าทางแข้งโมลด์เตะเคลียร์ออกไปได้  แต่แล้วทัพปืนใหญ่มาได้ประตูขึ้นนำ 1-0 จากการเปิดบอลทางด้านข้างฝั่งซ้ายของ โจ วิลล็อค ที่ลอยโด่งโค้งมาถึง นิโกล่าส์ เปเป้ จับบอลลงก่อนหนึ่งจังหวะแล้วปั่นไซต์ด้วยเท้าซ้ายบอลโค้งพุ่งแรงเสียบเสาไกลเข้าไปอย่างสวยงามหมดปัญญาของ อันเดรียส ลินเด้ นายด่านโมลด์ที่พยายามพุ่งรับสุดปลายมือจะป้องกันไว้

นาทีที่ 53 เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ ส่งบอลเข้าไปกองก้นตาข่ายโมลด์จากการตามซ้ำลูกยิงของ เอนส์ลี่ย์ เมทแลนด์-ไนล์ส ที่เติมขึ้นมากดไปติดเซฟของ ลินเต้ แต่กระดอนออกมาแต่ลูกนี้มีธงยกแจ้งเป็นลูกล้ำหน้าจากผู้ช่วยผู้ตัดสิน  และเมื่อย้อนดูภาพช้า เอ็นเคเทียห์ ก็อยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าจริงๆ ทำให้อาร์เซน่อลพลาดได้ประตูนำห่างไปอย่างน่าเสียดาย นาทีที่ 55 ทัพปืนใหญ่มาได้ประตูนำห่างเป็น 2-0 จนได้จากจังหวะเข้าทำอย่างสุดสวยเริ่มจาก นิโกล่าส์ เปเป้ ส่งบอลให้ โจ วิลล็อค หลุดขึ้นไปเปิดบอลสุดริมเส้นฝั่งขวายัดเข้าไปในกรอบเขตโทษโมลด์ บอลเลยไปถึง รีสส์ เนลสัน ที่สอดเข้าไปรอที่จุดนัดพบก่อนจะแประยะเผาขนเข้าไปไม่พลาดเป้า 10 นาทีต่อมา โมลด์ พยายามโหมเกมบุกหวังทวงประตูคืนเมื่อได้ลูกเตะมุม มักนุส โวล์ฟฟ์ ไอเครม เปิดยัดเข้าไปในกรอบเขตโทษอาร์เซน่อลแต่ถูก ชโคดราน มุสตาฟี่ โหม่งเคลียร์ออกมาแต่บอลยังไปเข้าทาง อิริค เฮดตาส ได้หวดซ้ำหน้ากรอบเขตโทษแต่กลับโดนไม่ดีบอลปลิ้นออกสนามข้างไปอย่างหมดลุ้น twbbook.com ผ่านพ้นมาถึงนาทีที่ 71 อาร์เซน่อลเกือบได้ประตูนำห่างแข้งโมลด์พยายามเคลียร์บอลหน้ากรอบเขตโทษตัวเองแต่โดน โจ วิลล็อค วิ่งเข้ามาจิ้มตัดไว้ได้บอลไปเข้าทาง เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ ที่หันหลังใช้ตัวบังก่อนจะหาจังหวะไหลถวายพานให้ อเล็กซองด์ ลากาแซตต์ ได้เลือกมุมแปเน้นๆ บอลพุ่งทำท่าจะเสียบเสาไกลแต่ถูกปฏิเสธโดย อันเดรียส ลินเด้ ผู้รักษาประตูเจ้าถิ่นที่ลอยตัวปัดไว้ได้ด้วยปลายมือ นาทีที่ 76 โมลด์ สร้างโอกาสหวงประตูคืนบ้างบอลมาอยู่ที่ มาติส บอลลี่ ทางสุดริมเส้นฝั่งขวาก่อนจะใช้ความสามารถเฉพาะตัวกระชากผ่าน เซดริก โซอาเรส และ เอนส์ลี่ย์ เมทแลนด์-ไนล์ส แล้วจบด้วยการซัดด้วยเท้าขวาแต่บอลกลับเหินข้ามคานออกไปไม่ถึงหลาอย่างน่าเสียดาย

นาทีที่ 83 อาร์เซน่อล มาได้ประตูนำห่าง 3-0 จาก ฟอลาแรง บาโลกัน ที่พึ่งเปลี่ยนตัวลงมาแทน เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ ได้ไม่ถึงนาที จากจังหวะเปิดบางเลียดทางฝั่งซ้ายของ เอมิล สมิธ โรว์ มาให้ บาโลกัน ก่อนเจ้าตัวจะแตะบอลแล้วพลิกตัวหวดเต็มเท้าทันทีส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายไม่เหลือซาก เวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่มจบเกม อาร์เซน่อล บุกมาย้ำแค้นใส่ โมลด์ 3-0 คว้าชัยชนะ 4 นัดรวดกับ 12 แต้มเต็มได้สำเร็จ พร้อมผ่านเข้าสู่รอบ 32 ทีมสุดท้ายต่อไป

"วินิซิอุส" ยิง2จ่าย1!สเปอร์สเปิดรังยำใหญ่ใส่ลูโดโกเร็ตส์ไม่ยั้งศึกยูโรปาลีก

สเปอร์ส vs ลูโดโกเร็ตส์ 

คาร์ลอส วินิซิอุส โชว์ฟอร์มสุดร้อนแรงยิงคนเดียวสองตุงแถมจ่ายให้เพื่อนหวดอีกตุงช่วย "ไก่เดือยทอง" สเปอร์ส เปิดบ้านไล่ถลุง ลูโดโกเร็ตส์ 4-0 คว้าสามแต้มสุดสำคัญเอาไว้ได้ ในศึกฟุตบอล ยูโรปา ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม เจ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 26 พ.ย. ที่ผ่านมา ก่อนเริ่มการแข่งขันได้มีการยืนไว้อาลัยแก่ ดีเอโก้ มาราโดน่า ตำนานนักเตะทีมชาติอาร์เจนตินา และ นาโปลี ผู้ล่วงลับในวัย 60 ปี

เกมเคลื่อนมาถึงนาทีที่ 7 สเปอร์ส ได้ลูกฟรีคิกระยะประมาณ 30 หลากลางประตู แกเร็ธ เบล รับหน้าที่สังหารโดยวิ่งเข้ามาหวดไปติดกำแพงแต่ผู้ตัดสินเป่านกหวีดสเปอร์สได้เตะใหม่อีกครั้งเหตุ เคลาดิอู เคเซรู แข้งลูโดโกเร็ตส์กระโดดขึ้นบล็อกแล้วกางมือออกมาป้องกันแถมโดนใบเหลืองในจังหวะนี้ก่อนที่ แกเร็ธ เบล จะรับหน้าที่ยิงอีกครั้งบอลข้ามกำแพงหยุดออกข้างเสาไปอย่างน่าเสียดาย นาทีที่ 10 แกเร็ธ เบล ได้ขึ้นโขกจากลูกเปิดทางด้านข้างแต่ดูเหมือนจะโหนโหม่งทำให้บอลหลุดออกหลังไปไม่ได้ลุ้น นาทีต่อมาสเปอร์สได้ลูกฟรีคิกอีกครั้งระยะประมาณ 25 หลากลางประตูจากการที่  ต็องกีย์ เอ็นดอมเบเล่ ถูก สเตฟ็อง บาฌิ ตัดฟาวน์ และเป็น แกเร็ธ เบล เจ้าเก่ารับหน้าที่ยิงเหมือนเคยบอลพุ่งไปติดกำแพงแข้งลูโดโกเร็ตส์หลุดออกหลังไปอีกครั้ง นาทีที่ 13 ยังคงเป็นทัพไก่เดือยทองที่โหมเกมบุกหวังขุดสกอร์แรก ลูคัส มูร่า เปิดบอลโด่งจากฝั่งขวาไปให้ คาร์ลอส วินิซิอุส ได้พักบอลลงแล้วหมุนตัวซัดทันทีแต่ดูเหมือนจะโดนไม่ดีบอลเหินข้ามคานออกไปอย่างน่าเสียดาย นาทีที่ 14 เดเล่ อัลลี่ ได้ตั้งป้อมส่องไกลกลางกรอบเขตโทษระยะประมาณ 25 หลาแบบไร้ตัวประกบ แต่เจ้าตัวกดไม่ลงบอลหลุดออกหลังไปไกล trigsol.com แต่แล้วความพยายามของสเปอร์สก็มาประสบความสำเร็จทำประตูขึ้นนำ 1-0 จนได้นาทีที่ 16 จากจังหวะพยายามส่งบอลของ เดเล่ อัลลี่ แต่ไปติดขาแข้งทีมเยือนที่พยายามยื่นเท้าเข้ามาตัดบอลแต่เหมือนโชคจะเข้าข้างเจ้าถิ่นบอลกระดอนไปเข้าทาง เคลาดิอู เคเซรู ได้หลุดเดี่ยวเข้าไปเลือกมุมยิงเข้าไปไม่เหลือ "ทัพไก่เดือยทอง" ยังคงเดินเกมบุกอย่างต่อเนื่องนาทีที่ 21 เกือบได้ประตูที่สอง เดเล่ อัลลี่ จิ้มบอลให้ คาร์ลอส วินิซิอุส ตรงเส้นกรอบเขตโทษก่อนส่งย้อนคืนมาให้ แกเร็ธ เบล ได้บรรจงปั่นเน้นๆ แต่น้ำหนักยังแรงเกินไปบอลหลุดเฉียดคานไม่ถึงหลา

สเปอร์สเปิดบ้านไล่ยำใหญ่ใส่ ลูโดโกเร็ตส์ 4-0

ผ่านพ้นมาถึงนาทีที่ 34 สเปอร์สนำห่าง 2-0 เริ่มจากจังหวะใช้ความสามารถเฉพาะตัวของ ต็องกีย์ เอ็นดอมเบเล่ ที่กระชากพากบอลแหวกและหลบผู้เล่นลูโดโกเร็ตส์ถึง 2 คนก่อนจะซัดหักข้อแถวกรอบเขตโทษระยะประมาณ 20 หลาบอลพุ่งทำท่าจะเสียบมุมแต่ยังไม่ผ่านมือ ปลาเมน อิลิเยฟ พุ่งปัดไว้ได้แต่บอลดันกระดอนไปเข้าทาง เดเล่ อัลลี่ ที่ตามมาเก็บแล้วหักข้อส่งต่อให้ คาร์ลอส วินิซิอุส ยิงเข้าไปจ่อๆ ไม่พลาด และนับเป็นประตูที่สองในเกมนี้ของ วินิซิอุส อีกด้วย

นาที่ที่ 41 สเปอร์สที่โหมเกมบุกต่อเนื่องได้ลูกเตะมุมทางฝั่งขวา แกเร็ธ เบล เปิดโด่งแรงเลยมาถึงเสาสอง แมตต์ โดเฮอร์ตี้ พยายามยื่นเท้าไปแหย่แต่แค่โดนปลายหัวเกือกบอลหลุดออกหลังไปหมดลุ้น จบครึ่งแรก สเปอร์ส ที่แทบพับสนามบุกแต่ฝ่ายเดียวเปิดบ้านนำ ลูโดโกเร็ตส์ 2-0 มาลุ้นกันต่อในครึ่งเวลาหลังเกมเคลื่อนมาถึงนาทีที่ 49 แฮร์รี่ วิงส์ เปิดบอลโด่งยัดเข้าไปในเขตโทษลูโดโกเร็ตส์แล้วเป็น เดเล่ อัลลี่ ที่โหม่งแต่น้ำหนักเบาเกินไปบอลลอยไปเข้ามือ ปลาเมน อิลิเยฟ รับไว้ไร้ปัญหา นาทีที่ 55 ลูโดโกเร็ตส์ ได้ฟรีคิกทางฝั่งขวา คิริล เดสโปดอฟ เปิดบอลโด่งไปทางเสาไกลแต่ก็ไม่มีเพื่อนร่วมทีมสอดขึ้นไปรับส่งผลให้บอลค่อยๆ ไหลออกหลังไปไม่ได้ลุ้น สองนาทีถัดมากสเปอร์สเกือบวกประตูที่สาม แมตต์ โดเฮอร์ตี้ โขกย้อนตั้งไปให้ แกเร็ธ เบล ได้เติมขึ้นมาแปจ่อๆ ทางเสาไกลแต่ไปติดเซฟของ ปลาเมน อิลิเยฟ ที่ออกมาปิดมุมดีและใช้มือปัดออกไปได้อย่างหวุดหวิด แต่แล้วนาทีที่ 63 สเปอร์ส นำห่างเป็น 3-0 จากลูกยิงมหัศจรรย์ของ แฮร์รี่ วิงส์ โดยเป็นจังหวะที่สเปอร์สได้ลูกทุ่มทางฝั่งซ้าย เบน เดวิส ทุ่มให้  แฮร์รี่ วิงส์ ที่เหลือบตามองเห็นว่าผู้รักษาประตูทีมเยือนออกมาห่างจากประตูพอสมควรจงตัดสินใจยิงไกลระยะเฉียด 40 หลาบอลพุ่งตรงเข้ากรอบประตูก่อนจะเสยคานบนมุดลงเข้าไปอย่างสวยงามทำเอา ปลาเมน อิลิเยฟ นายด่านลูโดโกเร็ตส์ ถึงกับเสียท่าลงไปนอนกองที่ก้นตาข่ายเพราะถอยไปรับบอลไม่ทัน นาทีที่ 65 ยังคงเป็นสเปอร์สที่พับสนามบุกแทบจะฝ่ายเดียวและได้ลุ้นอีกครั้ง  เดเล่ อัลลี่ หลุดเข้าไปกดด้วยขวาทางฝั่งขวาแต่บอลไซต์ปลายหลุดเข้าข้างตาข่ายไปทำเอาเจ้าตัวถึงกับออกอาการสุดเสียดาย

กระทั้งนาทีที่ 73 สเปอร์ส ได้ประตูนำขาด 4-0 จากจังหวะทำเกมสุดสวย  เดเล่ อัลลี่ เปิดบอลจากด้านข้างฝั่งขวายัดไปให้ คาร์ลอส วินิซิอุส ที่ดึงบอลลงก่อนจะหมุนตัวส่งต่อไปให้ ลูคัส มูร่า ได้เลือกมุมแประยะไม่ถึง 10 หลา มูร่า ยิงสวนทางเข้าเสาไกลไม่เหลือซาก นาทีที่ 85 สเปอร์ส ยังมีโอกาสผลิตสกอร์ที่ห้า ฮาร์วี่ย์ ไวท์ ได้หวดตรงเส้นกรอบเขตโทษแต่บอลเจ้ากรรมดันไปเข้าข้างตาข่าย เวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่มจบเกม สเปอร์สเปิดบ้านไล่ยำใหญ่ใส่ ลูโดโกเร็ตส์ 4-0 เก็บสามแต้มสุดสำคัญเอาไว้ได้

5โมเมนต์สุดยอดเส้นทางลูกหนังมาราโดน่า

เปิด 5 โมเมนต์สำคัญในเส้นทางอาชีพนักฟุตบอลของ ดีเอโก้ มาราโดน่า ที่มีทั้งด้านขาวและดำ

แฟนบอลทั่วโลกยังคงโศกเศร้าและเสียใจกับการจากไปของ ดีเอโก้ มาราโดน่า ตำนานนักเตะทีมชาติอาร์เจนตินา และ นาโปลี ที่เสียชีวิตด้วยวัย 60 ปี เนื่องจากหัวใจวาย เมื่อวันพุธที่ 25 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา มาราโดน่า เจ้าของฉายา "เสือเตี้ย" เป็นนักเตะที่มีทั้งด้านมืดและด้านสว่าง โดยถ้าเรื่องในสนามต้องยกให้ว่ามีฝีเท้าหมายเลขหนึ่งของโลก แต่ถ้าเรื่องนอกสนามก็ฉาวไม่แพ้กันทั้งการใช้สารกระตุ้นต้องห้าม และยาเสพติด เส้นทางสายลูกหนังของดาวเตะอาร์เจนไตน์มีความหวือหวาอย่างมาก และนี่คือ 5 โมเมนต์สำคัญของเขา

1. ฉายแสงตั้งแต่นัดแรก ในนัดแรกที่ มาราโดน่า ลงสนามให้ อาร์เจนติโนส จูเนียร์ส เจอกับ ตัลเลเรส เดอ กอร์โดบา เมื่อปี 1976 นั้น ฮวน คาร์ลอส มอนเตส กุนซือของทีมให้โอกาสกับเด็กวัยเพียงแค่ 15 ปีลงเล่น เพียงแค่การสัมผัสบอลครั้งที่สอง เจ้าหนูมาราโดน่า ก็โชว์ลีลาเลี้ยงบอลลอดขาของ ฮวน โดมิงโก้ คาเบรร่า กองหลังของทีมคู่แข่งให้เห็นซะเลย เกมนั้นไม่มีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ ทำให้แฟนบอลส่วนใหญ่อาจไม่ได้เห็นลีลา ก่อนมีภาพถ่ายที่ตีพิมพ์ให้เห็นทางนิตยสาร เอล กลาฟิโก้ เมื่อปี 2001 2. โดนแบนในฟุตบอลโลก 1994 สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) เคยสั่งแบน มาราโดน่า นาน 15 เดือน เมื่อปี 1991 หลังจากตรวจพบว่าเสพโคเคนในประเทศอิตาลี สมัยค้าแข้งอยู่กับ นาโปลี นอกจากนั้น "เสือเตี้ย" ยังเคยถูกส่งกลับบ้านในศึกฟุตบอลโลก 1994 ที่ประเทศสหรัฐฯ threeseasonsandmore.com หลังจากลงเล่นไปแค่ 2 นัดเท่านั้น หลังจากถูกตรวจพบใช้สารกระตุ้นต้องห้ามอีเฟดรีน นี่ถือเป็นจุดด่างพร้อยอีกช่วงหนึ่งของ มาราโดน่า อย่างไรก็ตาม แฟนบอลอาร์เจนไตน์ไม่เคยโทษเขาที่ทำให้ทัพ "ฟ้า-ขาว" ต้องตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายในฟุตบอลโลกครั้งนั้นเลย

มีทั้งด้านขาวและดำ

3. คว้าแชมป์โลกรุ่นอายุต่ำกว่า 20 ปี ในปี 1979 มาราโดน่า พาทีมชาติอาร์เจนตินา คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก รุ่นอายุต่ำกว่า 20 ปี ที่ประเทศญี่ปุ่น และยังคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ด้วย ก่อนหน้านั้น 1 ปี มาราโดน่า พลาดลงเล่นฟุตบอลโลก 1978 ที่บ้านเกิด หลัง เซซาร์ หลุยส์ เมน็อตติ กุนซือ "ฟ้าขาว" ไม่เรียกไปติดทีม อย่างไรก็ตาม มาราโดน่า ติดทีมชาติอาร์เจนตินา ไปเล่นฟุตบอลโลก 1982 ที่ประเทศสเปน แต่ก็ไม่ได้เป็นทัวร์นาเมนต์ที่น่าจดจำของเจ้าตัวเพราะโดนใบแดง

4. พา นาโปลี ยิ่งใหญ่ในอิตาลี มาราโดน่า ย้ายจาก บาร์เซโลน่า มาอยู่กับ นาโปลี เมื่อปี 1984 ด้วยค่าตัว 6.9 ล้านปอนด์ และทำให้ทีมจากเนเปิ้ลส์สร้างความยิ่งใหญ่ในวงการลูกหนังแดนมะกะโรนี "เสือเตี้ย" ทำให้ นาโปลี เป็นทีมที่แกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และพาทีมคว้าแชมป์หลายรายการอาทิแชมป์ลีกสูงสุด 2 สมัย, ยูฟ่า คัพ 1 ครั้ง, โคปปา อิตาเลีย 1 หน และ อิตาเลียน ซูเปอร์คัพ 1 สมัย 5. คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1986 และทำประตูสุดงดงาม แถมด้วยหัตถ์พระเจ้า มาราโดน่า กลับมาผงาดในฟุตบอลโลก 1986 ที่ประเทศเม็กซิโก โดยระเบิดฟอร์มร่ายมนต์ลูกหนังจนคู่แข่งไม่สามารถรับมือได้ โดยเฉพาะในเกมพบ อังกฤษ รอบก่อนรองชนะเลิศ ที่เจ้าตัวได้สร้างตำนานยิง 2 ประตูที่โลกไม่มีวันลืมจนถึงทุกวันนี้ ประตูแรกเกิดขึ้นในนาทีที่ 51 หลัง มาราโดน่า สร้างเรื่องสุดมหัศจรรย์ด้วยการกระโดดขึ้นโหม่งบอลหนีมือ ปีเตอร์ ชิลตัน นายทวาร "สิงโตคำราม" อย่างไรก็ตามเมื่อมองจากภาพรีเพลย์แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาใช้มือชกบอลก่อนที่ ชิลตัน จะลอยตัวมาถึงทำให้บอลเข้าประตูในที่สุด และในเวลาต่อมาลูกนี้ก็เป็นที่จดจำว่า "หัตถ์พระเจ้า" 

จากนั้นอีก 4 นาทีต่อมา มาราโดน่า โชว์ลีลาเลี้ยงบอลกว่าครึ่งสนามหลบผู้เล่นอังกฤษ 6 คน รวมทั้ง ชิลตัน ด้วย ก่อนที่จะส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายอย่างงดงาม ก่อนที่ในเวลาต่อมา ฟีฟ่า จะยกให้เป็นประตูแห่งศตวรรษ นอกจากนั้น มาราโดน่า ยังโชว์ลีลาลากหลบคู่แข่ง 4 คนในรอบรองชนะเลิศที่ อาร์เจนตินา ชนะ เบลเยียม อีกด้วย ก่อนที่จะเอาชนะ เยอรมันตะวันตก 3-2 ในนัดชิงชนะเลิศ พร้อมกับคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกมาครองอย่างยิ่งใหญ่

เปิด 20 สโมสรพรีเมียร์ลีกทีมไหนเฮ-เศร้าแฟนบอลเข้าสนาม

คลายล็อกดาวน์ทีมไหนเฮ - เศร้า

หลังจากที่รัฐบาลอังกฤษประกาศพื้นที่เมืองต่างๆ ที่จะได้รับอนุญาตให้แฟนบอลเข้าไปชมเกมในสนามช่วงสัปดาห์หน้า อย่างไรก็ตาม 20 สโมสรในศึพรีเมียร์ลีก อังกฤษ บางทีมอาจไม่ได้สุขสมอารมณ์หมายกับมาตรการนี้ ขณะที่อีกหลายๆ ทีมกำลังเนื้อเต้นที่จะได้เห็นแฟนบอลของพวกเขาคืนสู่สเตเดี้ยมที่รักอีกครั้ง

จากการที่ บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประกาศชัดเจนว่าเมื่อมีการคลายล็อกดาวน์ในวันพุธที่ 2 ธันวาคมนี้ จะอนุญาตให้แฟนกีฬาเข้าชมการแข่งขันกีฬาในสนามได้สูงสุดจำนวน 4,000 คน แต่ไม่ใช่ว่าทุกๆ สนามจะได้สิทธิ์นี้ เนื่องจากจะเน้นความรัดกุมเพื่อให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 กีครั้ง จึงจะเลือกไฟเขียวให้เฉพาะพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่ำ สำหรับมาตรการนี้ระบุว่าพื้นที่ระดับ 1 ที่มียอดผู้ติดเชื้อน้อย (เทียร์ 1) จะอนุญาตให้มีแฟนกีฬาเข้าไปชมการแข่งขันในสนามได้โดยแบ่งเป็นกีฬากลางแจ้งจะได้เข้าชมจำนวน 50 เปอร์เซ็นต์ของความจุ แต่สูงสุดไม่เกิน 4,000 คน ขณะที่กีฬาในร่มจะได้เข้าชมจำนวน 50 เปอร์เซนต์ของความจุแต่ไมเกิน 2,000 คน ขณะที่พื้นที่ระดับ 2 ที่มียอดผู้ติดเชื้อปานกลาง (เทียร์ 2) จะได้รับอนุญาตให้เข้าชมกีฬากลางแจ้งได้ 50 เปอร์เซ็นต์ของความจุ แต่สูงสุดไม่เกิน 2,000 คน ส่วนกีฬาในร่มจะอนุญาตให้เข้าชมได้จำนวน 50 เปอร์เซ็นต์ของความจุแต่ไม่เกิน 1,000 คน ส่วนพื้นที่ความเสี่ยงระดับ 3 หรือพื้นที่ที่มียอดผู้ติดเชื้อสูง (เทียร์3) ยังไม่อนุญาตให้แฟนกีฬาเข้าไปชมเกมในสนาม ล่าสุดจากการกำหนดพื้นที่ระดับต่างๆ ของผู้ติดเชื้อออกมาแล้วมีการระบุว่ากรุงลอนดอน และเมืองลิเวอร์พูล อยู่ในพื้นที่ระดับ 2 นั่นหมายความว่าสโมสรในเมืองหลวงผู้ดี และเมืองลิเวอร์พูล จะได้รับอนุญาตให้มีแฟนบอลเข้าสนามได้สูงสุดไม่เกิน 2,000 คน โดยจะต้องยึดหลักการเว้นระยะห่างทางสังคมอยางเคร่งครัด ในกรณีของเมืองลิเวอร์พูลนั้น แม็ตต์ แฮนค็อก รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของสหราชอาณาจักร ได้ยืนยันกับรัฐสภาเมืองผู้ดีว่าพื้นที่ในย่านเมอร์ซี่ย์ไซด์ในเวลานี้มีอัตราการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสลดลง ทำให้ดินแดนแห่งนี้หลุดออกจากพื้นที่ความเสี่ยงระดับ 3 ไปแล้ว นั่นหมายความว่าในเกมพรีเมียร์ลีกที่ แชมป์ลีกเมื่อซีซั่นล่าสุด มีคิวเปิดบ้านรับมือ "หมาป่า" วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ ในวันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคมนี้ จะได้เห็นสาวก "เดอะ ค็อป" เข้ามาส่งเสียงให้กำลังใจทีมรักของพวกเขาอีกครั้งที่สนามแอนฟิลด์ 

คลายล็อกดาวน์

ส่วนเกมระหว่าง ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน เยือน เซาธ์แฮมป์ตัน, เชลซี ปะทะ ลีดส์ ยูไนเต็ด รวมทั้งเกมบิ๊กแมตช์ศึกนอร์ธ ลอนดอน ดาร์บี้แมตช์ ระหว่าง สเปอร์ส ดวล อาร์เซน่อล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เยือน เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ได้รับไฟเขียวให้แฟนบอลเจ้าบ้านเข้าชมเกมได้ โดยเหตุผลเพราะว่าทั้งสโมสร "นักบุญ" เซาธ์แฮมป์ตัน, อาร์เซน่อล, ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์, เชลซี, เวสต์แฮมป์ และ เอฟเวอร์ตัน เป็นสโมสรที่อยู่ในพื้นที่ระดับ 2

ที่น่าเศร้าก็คือ วูล์ฟส์ , ลีดส์, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รวมทั้ง นิวคาสเซิ่ล เช่นเดียวกับ เบิร์นลี่ย์, แอสตัน วิลล่า, เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน, เลสเตอร์ ซิตี้ และ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ยังคงต้องร้องเพลงรอต่อไป เพราะพวกเขาถูกจัดให้อยู่ในพื้นที่ระดับ 3 ซึ่งยังเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง ฉะนั้นจึงไม่ได้รับอนุญาตให้แฟนบอลเข้าสนาม อย่างไรก็ตามจากการจัดพื้นที่ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าสโมสรในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ยังไม่ได้ถูกจัดอยู่ในพื้นที่ระดับ 1 ที่มียอดผู้ติดเชื้อไวรัสมรณะน้อย ซึ่งจะได้รับอนุญาตให้มีแฟนกีฬาเข้าไปชมการแข่งขันในสนาม สูงสุดไม่เกิน 4,000 คน the-robinson-group.com ทั้งนี้ อาร์เซน่อล จะเป็นทีมแรกในลีกสูงสุดเมืองผู้ดีที่จะได้ต้อนรับแฟนบอลเข้าสนามเพราะพวกเขามีคิวเปิดรังเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ต้อนรับการมาเยือนของ ราบิด เวียนน่า ในศึกยูฟ่า ยูโรปา ลีก วันพฤหัสบดีที่ 3 ธ.ค.นี้ ส่วนในกรณี "หงส์แดง" ต้องบอกว่าน่าเสียดายไปนิดนึงเพราะพวกเขามีคิวพบ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ในแอนฟิลด์ เกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก วันที่ 1 ธ.ค. ซึ่งยังไม่พ้นกำหนดล็อกดาวน์นั่นเอง 

สำหรับมาตรการที่คาดว่าแฟนฟุตบอลจะต้องปฏิบัติตามเมื่อได้กลับเข้าไปชมเกมในสนามีดังนี้ 1. สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าเมื่อเข้าไปในสนามแต่สามารถถอดออกได้หากอยู่ในที่นั่งที่กำหนด 2. แฟนบอลได้สิทธิ์เข้าชมเกมเพียงแค่ 4,000 หรือ 2,000 คนเท่านั้นขึ้นอยู่ว่าทีมใดถูกจัดอยู่ในพื้นที่ระดับไหน 3. อนุญาตให้เฉพาะแฟนบอลเจ้าบ้านเท่านั้น ส่วนกองเชียร์ทีมเยือนยังไม่ได้รับสิทธิ์นี้ 4. ต้องมีใช้น้ำยาฆ่าเชื้อล้างมือเมื่อเข้าไปในสนาม 5. สามารถส่งเสียงร้องเพลงได้ แต่ห้ามกอดหรือสัมผัสตัวกัน 6. ต้องนั่งเว้นระยะห่างทางสังคม โดยแฟนบอลไม่ควรจะพูดคุยกันแบบประชิดตัว 7. ต้องปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด ห้ามฝ่าฝืนจะโดนสั่งให้ออกจากสนามทันที  

วาร์ดี้ซัดนาที90+5! เลสเตอร์ตีเจ๊าบราก้าสามหนการันตีฉลุยยูโรปาลีก

เลสเตอร์ ซิตี้ vs บราก้า 

ศึกฟุตบอลยูโรปาลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม จี คืนวันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายนที่ผ่านมา "จิ้งจอก" เลสเตอร์ ซิตี้ ต้องการเพียงชัยชนะนัดนี้เท่านั้น หากคาดหวังการันตีเข้ารอบต่อไป เบรนแดน ร็อดเจอร์ส นายใหญ่ของทีมพักตัวหลักอย่าง "วาร์ดี้-แมดดิสัน" เป็นแค่สำรอง ใส่ทีเด็ด "เคเลชี่ อิเฮียนาโช่" ที่กดคนเดียวสองเม็ดนัดก่อน บุกถิ่น บราก้า ที่ยังมีลุ้นในการเป็นแชมป์กลุ่ม นัดนี้เล็งสามแต้มเช่นกัน การ์ลอส การ์วาญัล เทรนเนอร์เจ้าบ้านวางหมากตัวอันตราย "เปาลินโญ่" ค้ำแดนหน้ากระทุ้งคู่แข่ง โดยก่อนเกมนักเตะทั้งสองทีมมีการยืนไว้อาลัยแด่การจากไปของ ดีเอโก้ มาราโดน่า ที่เสียชีวิตไปเมื่อวานนี้

เจ้าถิ่นนำเร็วนาทีที่ 4 อาลี เอลมุสราติ วางบอลยาวออกด้านข้างมาให้ ริคาร์โด้ ออร์ต้า รับบอลริมสนามทางขวา ก่อนตบเข้ากลางเขตโทษ แนวรับจิ้งจอกสกัดมาเข้าทาง ยูริ เมเดยรอส กระหน่ำบอลจังหวะแรกติดบล็อกกองหลังทีมเยือน กลิ้งมาหน้ากรอบเขตโทษและเป็น อาลี เอลมุสราติ วิ่งมาซัดตู้มเดียวบอลเข้าซุกก้นตาข่าย แต่เพียงแค่นาทีที่ 9 อาลี เอลมุสราติ จ่ายบอลคืนหลังพลาดถูก เคเลชี่ อิเฮียนาโช่ วิ่งมาฉกบอลลากมาในเขตโทษก่อนถูกแนวรับเจ้าบ้านจิ้มทิ้ง ทว่าบอลไม่ไปไหน ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ สอดมาทางซ้ายของเขตโทษจัดการซัดสูงหนีตัวนายทวารบราก้าเข้าตุงประตู บราก้านำอีกนาทีที่ 24 เปาลินโญ่ จ่ายบอลสั้นให้ ยูริ เมเดยรอส ทำชิ่งกับเจ้าตัว thepalmshoppingmall.com ก่อนแทงบอลหน้ากรอบเขตโทษไปที่ ริคาร์โด้ ออร์ต้า สปีดรับบอลในเขตโทษแตะหนีตัว คาสเปอร์ ชไมเคิ่ล นายทวารทีมเยือนแล้วทิ้งตัวตบบอลย้อนมาให้ เปาลินโญ่ จิ้มบอลตรงเขตโทษ 6 หลาเข้าประตูไป 

เลสเตอร์ ซิตี้ บุกเสมอ บราก้า 3-3

ทีมเยือนชวดตีเสมอนาทีที่ 29 บรูโน่ วิอาน่า กองหลังเจ้าบ้านจับบอลหน้ากรอบเขตโทษตนเองไม่ดีถูก เคเลชี่ อิเฮียนาโช่ สปีดมากดดันจนจ่ายคืนหลังพลาดโดน เซนกิซ อุนเดอร์ ขโมยบอลเข้าซัดติดตัวนายทวารเพื่อนร่วมทีม บอลยังกลิ้งอยู่หน้าปากประตูยังดีมี วิคตอร์ ตอร์เมน่า แนวรับคู่หูถอยมาเตะทิ้งทันเวลา 

บราก้ารุกหนักนาทีที่ 40 กาเลโน่ หลุดมาทางริมสนามด้านซ้าย ลากมาดีดบอลเข้าเขตโทษ เปาลินโญ่ ปรี่มาบรรจงยิงบอลเรียดติดเซฟ คาสเปอร์ ชไมเคิ่ล กระดอนออกมาถูก ริคาร์โด้ ออร์ต้า ตามมาซ้ำแต่ยังไม่ผ่านมือนายทวารจิ้งจอกป้องกันไว้ได้ ช่วงนาทีที่ 45 กาเลโน่ ส่งบอลตัดหลังฟูลแบ็กทีมเยือน นูโน่ เซเกยร่า ดอดมาเปิดบอลเข้ากลางเขตโทษ เปาลินโญ่ วิ่งมาแปตรงเขตโทษประมาณ 8 หลา บอลตรงตัวนายทวารทีมเยือนเวฟอีกหน จบ 45 นาทีแรก บราก้า นำอยู่ 2-1 เลสเตอร์หวิดตีเจ๊านาทีที่ 60 เซนกิซ อุนเดอร์ รับบอลจากเพื่อน แต่งจังหวะเข้าเท้าซ้ายแล้วลองส่องไกลนอกกรอบเขตโทษ บอลโค้งเข้าหาเสาสองทางซ้ายแต่ มาเธอุส มือกาวบราก้าพุ่งปัดได้ปลายมือ เจ้าถิ่นเกือบเฮอีกนาทีที่ 66 ยูริ เมเดยรอส โยนบอลริมกรอบเขตโทษด้านขวา บอลย้อยมาเขตโทษ 8 หลา เปาลินโญ่ เหินตัวโหม่งบอลสำเร็จ ทว่า คาสเปอร์ ชไมเคิ่ล ปฎิกิริยายังไวยื่นมือปัดบอลพ้นคานอย่างฉิวเฉียด จิ้งจอกตีเสมอนาทีที่ 78 เจมส์ แมดดิสัน ปรี่มาเก็บบอลโด่งอยู่ทางริมสนามด้านซ้าย เอาบอลลงกระชากจี้เข้าเขตโทษ เปิดเรียดยัดเข้ากลาง ลุค โธมัส วิ่งมาซัดบอลเข้าซุกตาข่ายอย่างแม่นยำ 

ทว่าท้ายเกมนาทีที่ 90 กาเลโน่ กระชากบอลหนี เวสลี่ย์ โฟโฟน่า ลุยมาทางสนามด้านซ้าย ไหลบอลตัดหลังแนวรับทีมเยือนให้ ฟรานแซร์คิโอ ตัวสำรองหลุดเข้าเขตโทษไปหวดบอลผ่านตัว คาสเปอร์ ชไมเคิ่ล ซุกก้นตาข่าย แต่เกมยังไม่จบเมื่อทีมเยือนมาได้สกอร์สำคัญจาก เจมี่ วาร์ดี้ ทดเจ็บนาทีที่ 90+5 จบเกม เลสเตอร์ ซิตี้ บุกเสมอ บราก้า 3-3 ตีตั๋วเข้ารอบต่อไปแน่นอนแล้ว หลังผลอีกคู่กลุ่มเดียวกัน เออีเค เอเธนส์ แพ้ ซอร์ย่า 0-3  

เมสซี่ยังคารวะ! 10วาทะเด็ดจากคนดังวงการลูกหนังที่เคยพูดถึง "มาราโดน่า"

วาทะคนดังถึง "มาราโดน่า"

เมื่อคืนวันพุธที่ 25 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา วงการลูกหนังโลกเจอข่าวเศร้าครั้งใหญ่ กับการจากไปแบบไม่มีวันกลับในวัย 60 ปี ของ ดีเอโก้ มาราโดน่า สุดยอดตำนานนักฟุตบอลชาวอาร์เจนไตน์ ซึ่งแน่นอนว่า "เสือเตี้ย" เป็นที่ยอมรับของทุกๆ คน โดยเฉพาะเพื่อนๆ, พี่ๆ และน้องๆ ในวงการ และนี่คือคำพูดส่วนหนึ่งของคนดังในวงการลูกหนังที่้เคยเอ่ยถึง มาราโดน่า "ต่อให้ผมเล่นฟุตบอลนานเป็นล้านปี ฝีเท้าของผมก็คงไม่มีทางได้ใกล้เคียงกับ มาราโดน่า และนั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการด้วย สำหรับผมแล้ว เขาเป็นนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา" - ลิโอเนล เมสซี่ กัปตันทีมชาติอาร์เจนตินา และ บาร์เซโลน่า 

"สิ่งที่ (ซีเนดีน) ซีดาน ทำได้กับลูกบอล, มาราโดน่า ก็สามารถทำได้เช่นกันกับผลส้ม" - มิเชล พลาตินี่ สุดยอดตำนานนักเตะชาวฝรั่งเศส "ตอนที่ ดีเอโก้ ทำประตูใส่ทีมเรา ในใจผมรู้สึกอยากจะปรบมือกับให้กับเขา มันเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อน แต่มันเป็นเรื่องจริง... ไม่ใช่แค่เพราะว่ามันเป็นเกมสำคัญเท่านั้น แต่มันยังเป็นประตูที่งดงามมากๆ และไม่มีทางที่จะทำกันได้เลย เขาเป็นนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล เป็นปรากฏการณ์ของแท้เลย" - แกรี่ ลินิเกอร์ ตำนานดาวยิงทีมชาติอังกฤษ พูดถึงลูกยิงโซโล่เดี่ยวจากกลางสนามของ มาราโดน่า ในศึก ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ 1986 รอบก่อนรองชนะเลิศ ที่ทัพ "สิงโตคำราม" แพ้ "ฟ้า-ขาว" 1-2 "มาราโดน่า คือพระเจ้าของชาวเนเปิ้ลส์ มาราโดน่า เป็นผู้เข้ามาเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์สโมสรตลอด 80 ปี เราเจ็บปวดมาตลอด และต้องต่อสู้กับการหนีตกชั้น แต่เจ็ดปีที่เขาอยู่กับเรา เราคว้าแชมป์ลีกสองครั้ง, ยูฟ่า คัพ หนึ่งครั้ง และ อิตาเลียน คัพ สองครั้ง ซึ่งผมเองก็เป็นแฟนตัวยงของเขา การได้ใช้ชีวิตร่วมกับ มาราโดน่า หลายปีที่นั่น มันเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อ การได้สัมผัสบรรยากาศในสนามตอนที่พวกเขาได้ สคูเด็ตโต้ มันเป็นประสบการณ์ที่มหัศจรรย์สุดๆ" - ฟาบิโอ คันนาวาโร่ กัปตันทีมชาติอิตาลี ชุดแชมป์ ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ 2006 ซึ่งเคยเป็นเด็กปั้นของ นาโปลี สโมสรสร้างชื่อให้กับ มาราโดน่า "ตอนเขามีบอลอยู่กับเท้า คุณไม่มีทางรู้หรอกว่า เขาจะไปจบที่ไหน และบอลมันเริ่มต้นจากที่ไหน" - โชเซ่ มูรินโญ่ ยอดกุนซือชาวโปรตุกีส ที่ปัจจุบันเป็นผู้จัดการทีม ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 

เมสซี่ยังคารวะ!

"บางคนบอกว่า เปเล่ เป็นนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่สุดตลอดกาล แต่สำหรับผมมันไม่ใช่ มาราโดน่า ยิ่งใหญ่ที่สุดเสมอ เขาได้แชมป์ เวิลด์ คัพ 1986, แพ้ในรอบชิงฯ (เยอรมนี 0-1) แบบหวุดหวิดในปี 1990 และหลังจากนั้นในปี 1994 เขาก็อาจจะได้แชมป์อีกครั้ง หากไม่ถูกแบน (เรื่องใช้สารกระตุ้น) ความแตกต่างที่สำคัญมากๆ ระหว่าง เปเล่ กับ มาราโดน่า คือ มาราโดน่า ไม่ได้มีเพื่อนร่วมทีมชั้นยอดอยู่รายล้อมเหมือนกับ เปเล่ เขาแบกทีมทั้งทีมด้วยตัวเขาเอง ถ้าคุณเอา มาราโดน่า ออกจากทีมชาติอาร์เจนตินา พวกเขาไม่มีทางได้แชมป์ เวิลด์ คัพ หรอก แต่ผมคิดว่า บราซิล ที่ปราศจาก เปเล่ พวกเขายังดีพอคว้าแชมป์" - เอริก คันโตน่า ตำนานกองหน้า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

"เขาคืออัจฉริยะ, เป็นศิลปินลูกหนังอย่างแท้จริง และเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เขาเป็นคนที่สามารถพาทีมคว้าชัยชนะด้วยตัวเขาเอง" - เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน ตำนานกุนซือชาวอังกฤษผู้ล่วงลับ ซึ่งคุมทัพ "สิงโตคำราม" ในศึก ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ 1986 "ผมโชคดีมากๆ ที่เคยเป็นเพื่อนร่วมทีมของเขา และได้ดูเขาฝึกซ้อมทุกๆ วัน ทุกอย่างที่เขาทำ มันเป็นสิ่งที่ไม่เหมือนใครเสมอ ยามอยู่นอกสนาม ผมชอบความเรียบง่ายของเขา เขาทำตัวธรรมดาๆ เหมือนเพื่อนร่วมทีม เขาไม่เคยวางตัวเองเป็นนักฟุตบอลระดับสตาร์ดังเลย" - จานฟรังโก้ โซล่า อดีตกองหน้าดาวดังทีมชาติอิตาลี และอดีตเพื่อนร่วมทีมของ มาราโดน่า ที่ นาโปลี "นี่คือนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดเท่าที่เคยมีมา เขาเก่งกว่า เปเล่ ตอนผมค้าแข้งที่ อิตาลี ผมได้ดูฟอร์มการเล่นของเขาอย่างใกล้ชิดทุกๆ สัปดาห์ thegreekplace.net เขาอยู่ในระดับที่เหนือกว่าทุกๆ คน บางอย่างที่เขาทำมันเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อมาก เขาสามารถคอนโทรลลูกบอลโดยที่ไม่ต้องมอง เขาสามารถรับบอลได้ทุกรูปแบบ" - รุด กุลลิท ตำนานลูกหนังชาวดัตช์ 

"ดีเอโก้ มาราโดน่า ไม่ใช่แค่เป็นนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่านั้น แต่ยังเป็นคนที่มีพฤติกรรมดีเยี่ยมในสนามด้วย เขาให้ความเคารพทุกๆ คน ไล่ตั้งแต่นักเตะชั้นยอดไปจนถึงสมาชิกธรรมดาๆ ภายในทีม เขามีความพยายามเสมอและไม่เคยบ่น เหมือนกับผู้เล่นกองหน้าบางคนในทุกวันนี้" - เปาโล มัลดินี่ สุดยอดตำนานปราการหลัง เอซี มิลาน ผู้ที่เคยได้ปะทะฝีเท้ากับ มาราโดน่า ... และสุดท้าย ดีเอโก้ มาราโดน่า พูดถึงตัวเอง "ผมทำงานหนักมาตลอดชีวิตเพื่อสิ่งนี้ ใครก็ตามที่บอกว่า ผมไม่สมควรได้รับอะไรเลยสักอย่าง ทุกอย่างผมได้มาอย่างง่ายดาย งั้นพวกคุณก็ควรไปตายซะดีกว่า"

ผีลุ้นขึ้นที่6! 7 ประเด็นก่อนเกมแมนยูบุกรังเซาธ์แฮมป์ตัน

คืนนี้ "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เจออีกหนึ่งบททดสอบสำคัญ ในศึก พรีเมียร์ลีก "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีคิวบ...