ตราบเท่าที่ กีฬาที่ชื่อ “ฟุตบอล” อยู่บนโลก โค้ชของแต่ละฝ่ายก็จะคอยคิดค้นหนทางในการสร้างความได้เปรียบและมองหาไอเดียใหม่ๆในการเล่นที่จะมาสู่ชัยชนะของทีมตนเองในที่สุด. แต่ในบรรดาปัจจัยต่างๆที่คิดกันออกมา ไม่ว่าจะเป็นด้านตัวนักเตะหรือด้านการเล่น การวางตำแหน่งการยืนของผู้เล่น หรืออีกคำเรียกหนึ่งคือการสร้างรูปกลยุทธ์การยืนตำแหน่งเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมและว่ากันว่าได้ผลมากที่สุดนั่นเอง เมื่อหลายปีก่อน ผู้คุณว่ากันว่าแผนการเล่นในฟุตบอลคงจะคิดค้นกันออกมาจนครบถ้วนแล้ว และโค้ชแต่ละคนในโลกที่มีชีวิตอยู่ในตอนนั้นคงคิดว่าตัวเองจะห้ำหั่นกันด้วยแผนการเล่นยอดนิยมในตอนนั้น คือ 4-2-2 บ้าง หรือ 4-3-3 หรือไม่ก็ 5-3-2 ทั้งแบบมีสวีปเปอร์ หรือไม่มี รวมทั้งแผนการเล่นอื่นๆอีกมากมาย แต่ทว่าช่วงต้นทศวรรษของปี 2000, โดยที่ไม่มีใครตั้งตัวทันภายใน ลาลีกา เสปน แผนการเล่นใหม่ 4-2-3-1 ได้ถูกคิดค้นขึ้นมา และภายในเวลาไม่ถึงสิบปี ทีมต่างๆในลีกก็หันมาเล่นแผนนี้ จนแทบจะกลายเป็นแผนมาตรฐานกันไปหมดทีเดียว
หากย้อนเวลากลับไป โค้ชคนแรกที่ริเริ่มใช้แผนการนี้ว่ากันว่าคือ โค้ชชาวเสปน ของทีม รีลโซเซียดัด ชื่อว่า ฆวนม่า ลิลโล่ ระหว่างช่วงปี 1991-1992 ซึ่งเคยกล่าวไว้ว่า “เจตนาแรกของผมคือ เพื่อเล่นเพรสซิ่งเร็วและพยายามแย่งบอลมาตั้งแต่แดนหน้า” โค้ชอีกคนที่อธิบายในเรื่องนี้คือ เวลจ์โก้ เปาโนวิช “แผนการนี้ช่วยให้เรามีตัวรุกถึง 4 คนที่ช่วยในการเพรสในแดนหน้า และดันแผงมิดฟิลด์กับกองหลังให้สูงขึ้นได้ด้วยในขณะเดียวกัน ทุกๆคนได้ประโยชน์ ขอเพียงแค่เรามีนักเตะที่เหมาะกับแผนการเล่นแบบนี้เท่านั้นนั่นคือ พวกที่คล่องตัวมากๆและเมื่อได้บอลแล้วก็เปลี่ยนจากรับเป็นรุกได้ทันที ” หลังจากนั้นไม่นาน แผนการเล่นนี้ก็ค่อยๆได้รับความนิยมแพร่หลาย ไปยังลีกอื่นๆในยุโรป และในที่สุดก็ทั้งโลกรู้จักดี ช่วงปี 2008 เป็นต้นมา นับเป็นช่วงพีคที่สุดของแผน 4-2-3-1 เพราะว่าเสปนได้แชมป์ยูโรไปครองหลังเปลี่ยนมาเล่นแผนนี้ และยิ่งกว่านั้น ในปี 2012 ทัวร์นาเม้นยุโรปรอบถัดมา มีทีมมากกว่าครึ่งหนึ่งที่เล่นด้วยแผนนี้ในการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็น โปแลนด์ ไปจนถึงเยอรมนี
ความนิยม และ ประสิทธิภาพ
ถ้าเช่นนั้นแล้ว ทำไมแผนการเล่นใหม่นี้ถึงได้ดีนักดีหนา ? คำตอบหนึ่งในนั้นคือ เพราะว่า ความสารพัดประโยชน์ของมันนั่นเอง โค้ชเปาโนวิชเล่าต่อว่า “4-2-3-1 เริ่มโด่งดังเมื่อโค้ชเริ่มเข้าใจว่าในยุคปัจจุบันสำคัญแค่ไหนที่การเปลี่ยนจากรับเป็นรุกจะต้องลื่นไหล และเมื่อได้ใช้แผนการนี้ คุณจะมีผู้เล่นมากขึ้นตอนที่เล่นเกมรับ และตอนที่เปลี่ยนไปบุกก็จะอันตรายมากขึ้นเช่นกันเพราะเมื่อแย่งบอลได้ก็มีนักเตะในตำแหน่งที่พร้อมจะบุกมากกว่าด้วย และที่สำคัญแผนนี้ก็ทำให้เรามีคนมากกว่าในเกือบทุกสถานการณ์ และพื้นที่ต่างๆทั่วสนามด้วย เพราะงั้นนักเตะจะต้องฟิตมากๆ”ในตำแหน่งต่างๆก็เช่นกัน คุณจะต้องมีปีก 2 ข้างที่เปิดกว้างแต่ก็ลงมาไล่บอลลึกได้ดี มีมิดฟิลด์ตัวโฮลบอล 2 ตัวที่ยืดหยุ่นมาก ที่จะเล่นอยู่หน้ากองหลัง และรู้ด้วยว่าจะเล่นให้อันตรายตอนบุกขึ้นไป และก็แน่นอนจต้องมีศูนย์หน้าที่เชื่อมต่อได้กับทุกคนที่เหลือ รวมทั้งหมายเลข 10 ที่เก็บบอลได้ดีด้วย”
4-2-3-1 กับเกมรับ
ความสวยงามของแผนการเล่นนี้ คือ ทีมจะมี แนวป้องกันถึง 4 ชั้นในเวลาเดียวกันที่สามารถสลับเปลี่ยนกันอย่างอิสระ ซึ่งก็คือตั้งแต่ กองหน้า 1 คน กองกลางตัวรุก 3 คน กองกลางตัวรับหรือโฮลบอล 2 คน และแผงแบ็คโฟร์นั่นเอง แต่แผนการเล่นนี้จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อทุกคนในแนวป้องกันทั้งหมดนี้ เข้าใจหน้าที่และปิดพื้นที่ตัวเองในเวลารักได้อย่างดีนั่นเอง ไม่ต่างกับแผนยอดนิยมอื่นๆ 4-2-3-1 มีแนวกองหลังยืนเรียงกัน 4 คน (2,3,4,5) และผู้เล่นคนอื่นๆที่เล่นเกมรับอื่นๆนอกเหนือจาก 4 คนนี้แหละที่สร้างความแตกต่างให้กับแผนการเล่นนี้.เมื่อเริ่มป้องกัน บริเวณเขตโทษ โดยหลักแล้วจะมีแนวป้องกันหลักที่สร้างจากหมายเลข 4,5,6,8 (เซ็นเตอร์แบ็ค 2 / กองกลางตัวรับ 2) ตามในแผนภาพ กล่องของ 4 นักเตะนี้เคลื่อนที่ไปพร้อมๆกันเสมอ ซึ่งจะทำให้สร้างจำนวนคนที่มากกว่าคู่แข่งที่กำลังบุกเข้ามา 1 คนเสมอ โดยจะยิ่งเห็นชัดเมื่อใช้ปีกข้างใดข้างหนึ่งโจมตีเข้ามา และนี่ทำให้เกมรับประสบผลสำเร็จด้วยกัน 2 อย่างพร้อมกัน สกัดกั้นการจ่ายบอลเข้ามา (6,8 ทำหน้าที่สกรีนบอลหน้าแผงหลังทั้ง4). ป้องกันไม่ให้เสียประตูจากพื้นที่นั้นของสนาม พูดง่ายๆคือ แนวป้องกันสามารถกินลูกยิงจากระยะ 12-16 หลาเรียบหมด เพราะว่าเมื่อเล่นเกมรับตามที่อธิบายมานี้ กฌเสมือนกับว่า เปลี่ยนมาใช้แผน 4-5-1 ตอนป้องกันชั่วขณะนั่นเอง ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามมักจะใช้แผนการบุกแบบยืดหยุ่นอยู่ แต่ที่น่าสนใจคือ แผน 4-2-3-1 เอาความยืดหยุ่นแบบนี้มาใช้กับเกมรับด้วยนั่นเอง ดังนั้น แผน 4-2-3-1 จึงสามารถใช้ต่อกรกับแผนอื่นๆต่างๆได้มากมายนั่นเอง เพราะยังมีจุดเด่นที่ การที่มิดฟิลด์ overlapping ไม่เพียงแค่ฟูลแบ็ค ซึ่งพวกนักเตะทั้ง 4 คนนี้มีตัวเลือกจะเล่นมากขึ้นทั้งตอนรับและรุกนั่นเอง.
The 4-2-3-1 On Offense
แน่นอนทุกๆกีฬาเข้าใจดีถึงคำพูดที่บอกว่า เกมรุกที่ดีเริ่มจากเกมรับที่ดี. 4-2-3-1 ไม่เพียงแค่เปิดโอกาสให้เกมรับแน่นขึ้นอย่างที่กล่าวไปแล้ว แต่เกมรุกก็เช่นกันที่ได้ประโยชน์เข่นนี้ ถึงแม้ว่าแวปแรกที่เห็นแผนบนกระดาน จะดูเหมือนเป็นแผนที่เน้นเกมรับชัดๆ แต่ที่จริงแล้วตอนที่เปลี่ยนมาเล่นเกมบุก แผนนี้เสมือนว่าเปลี่ยนมาเป็น 4-3-3 มากกว่านั่นเองถ้านักเตะทำตามหน้าที่ได้ 4-2-3-1 ช่วยให้กองกลางมีทรงเพราะตัวผู้เล่นที่มากกว่า นี่ทำให้เกมรุกมีทรงและควบคุมได้ดีตามไปด้วย และถึงแม้ว่ามีกองหน้าเป้าแค่ตัวเดียวที่ดูแล้วคงโดนกองหลังรุมกินโต๊ะ แต่จริงๆแล้วมี ปีก 2 ข้าง (7และ11 ซึ่งในแผนนี้อย่าลืมว่ามีความรับผิดชอบมากที่สุดทั้งรุกและรับ)+ ฟูลแบ็ค และกองกลางตัวรุก ตามกระจายกันขึ้นมาทันทีตอนบุกทำให้ดูเหมือนว่ามีตัวรุกช่วยจำนวนมากจนดูแทบไม่ทันสรุปตอนท้ายที่สำคัญ จะเห็นว่า ในขณะที่ทีมคู่แข่งที่ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงรับมือกับแผนการนี้ทัน มักจะมาด้วยแผนการเล่น 4-4-2 ตามปกติซึ่งจะชอบใช้การคุมตัวแบบโซน (Zone Marking) จะต้องเวียนหัวและสับสนใจการตามประกับนักเตะของแผน 4-2-3-1 เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งเร็วเมื่อรับและรุก (4-5-1 กับ 4-3-3 สลับไปมา) ผลที่ตามมาก็คือความผิดพลาดและประสิทธิภาพที่ด้อยกว่าจนส่งผลให้พ่ายแพ้ในที่สุดนั่นเอง ตอนนี้เราคงเห็นแล้วว่าทำไม 4-2-3-1 จึงเป็นแผนยอดนิยมตอนนี้ ก็หวังว่าในอนาคตจะมีโค้ชเก่งๆคิดแผนการเล่นที่ดีกว่า และลึกซึ้งกว่ามาให้แฟนบอลอย่างเราได้สนุกกันนะครับ
รับชมข่าวสารวงการกีฬาต่อได้ที่ messengerapkapp.com

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น