ลิเวอร์พูล ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกที่ต้องการไปแล้วก็จริง แต่ดูเหมือนจะยังเหลือภารกิจอีกนิดหน่อย
อันดับแรกคือกระทืบสถิติสะสมคะแนนมากที่สุด 100 แต้มที่ แมนฯ ซิตี้ ทำไว้เมื่อฤดูกาล 2018-19
ตอนนี้ "หงส์" สะสมไปแล้ว 89 แต้ม เหลืออีก 5 นัด มีอีก 15 แต้มให้เก็บ หากลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ สามารถยัดเยียดความปราชัยให้คู่แข่งอีก 4 นัด ก็จะมีคะแนนรวมทั้งหมด 101 แต้ม ทำลายสถิติเดิมได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม เข้าใจว่า ลิเวอร์พูล คงไม่ซีเรียสกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่ ประมาณว่าทำได้ก็ดี - ทำไม่ได้ก็ไม่เดือดร้อนอะไร เรียกว่าเป็นผลพลอยได้จากการเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกซะมากกว่า เพราะอย่างที่ รอย คีน เคยบอก เจมี่ คาร์ราเกอร์ นั่นแหละว่าในเหรียญรางวัลชนะเลิศ มันไม่ได้สลักคะแนนที่แชมป์ได้เอาไว้สักหน่อย
อีกหนึ่งสถิติที่เป็นผลพลอยได้คือการเอาชนะคู่แข่งในบ้านให้ครบทั้ง 19 นัด ฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล เอาชนะผู้มาเยือนที่ แอนฟิลด์ ไปแล้ว 17 นัดติดต่อกัน เหลืออีกแค่ 2 นัดเท่านั้นก็จะทำสำเร็จ ฤดูกาลที่แล้ว แมนฯ ซิตี้ ทำสถิติชนะในบ้าน 18 นัด และหลุดแพ้ไปแค่เกมเดียวเท่านั้น เกมเดียวที่พลาดทำ 3 แต้มหล่นหายใน เอติฮัด สเตเดี้ยม คือเกมที่ถูก คริสตัล พาเลซ บุกมาเชือด ด้วยสกอร์ 3-2 เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2018 ส่วนตอนที่ทำสถิติคว้าแชมป์โดยกักตุนได้ถึง 100 แต้ม เมื่อฤดูกาล 2017-18 พลพรรคเรือสำเภาเศรษฐีชนะในบ้าน 16 นัด เสมอ 2 นัด และแพ้ 1 นัด โดยเกมเดียวที่พลาดท่าพ่ายแพ้คือถูกเพื่อนบ้านอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด บุกมาอัดอย่างอุกอาจ สำหรับเจ้าของสถิติเล่นในบ้านดีที่สุดในพรีเมียร์ลีก คือ แมนฯ ยูไนเต็ด เมื่อฤดูกาล 2010-11 ซีซั่นนั้น แชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างพลพรรคปีศาจแดงทำสถิติชนะในบ้านได้ถึง 18 นัด หลุดเสมอไปเพียงแค่เกมเดียวเท่านั้นเอง สถิติในบ้าน ณ จุดนี้ของ ลิเวอร์พูล คือชนะ 17 นัด เสมอ 0 เสมอ 0 ได้ 46 เสีย 12 หมายความว่าฤดูกาลนี้ the-robinson-group.com พวกเขาชนะในบ้าน 17 เกมติดต่อกัน ซึ่งจัดเป็นสถิติที่เหี้ยมโหดและอำมหิตดีนักแล หากนับรวมกับฤดูกาลที่แล้วด้วย เท่ากับว่าตอนนี้ "เครื่องจักรสีแดง" เอาชนะผู้มาเยือนในบ้านของตัวเองไปแล้วถึง 24 นัดติดต่อกัน
ทีมสุดท้ายที่กลับออกมาจาก แอนฟิลด์ พร้อมกับมีชีวิตรอดปลอดภัยออกไปคือ เลสเตอร์ ซิตี้
เหตุเกิดเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2019 โน่นนนนนนน - เกมนั้นจบลงด้วยการเสมอกัน 1-1 และนับแต่นั้น ลิเวอร์พูล ก็กะซวกคู่แข่งในพรีเมียร์ลีกที่บ้านของตัวเอง 24 นัดติดต่อกัน ส่วนอาการ "คาบ้าน" ครั้งล่าสุดในพรีเมียร์ลีกที่ แอนฟิลด์ บังเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2017 ทีมสุดท้ายที่บุกไปเหยียบจมูก ลิเวอร์พูล ในพรีเมียร์ลีก คือ คริสตัล พาเลซ
38 นัดติดต่อกันแล้วนะครับที่ลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่เคยแพ้ใครในพรีเมียร์ลีกแบบคาบ้าน อีก 2 นัดในบ้านที่เหลือในฤดูกาลนี้คือ เบิร์นลี่ย์ (11 กรกฏาคม 2020) กับ เชลซี (22 กรกฏาคม 2020) เกมที่ต้อนรับการมาเยือนของ เบิร์นลี่ย์ ไม่น่ามีปัญหาอะไรนะครับ เพียงแค่เล่นได้ตามมาตรฐาน ลิเวอร์พูล น่าจะยัดเยียดความปราชัยให้ผู้มาเยือนได้ไม่ยาก ก่อนทำสถิติเป็นชนะ 18 นัดในบ้าน เหลือเกมเดียวกับ เชลซี ในวันพุธที่ 22 กรกฎาคม หากไม่มีความผิดพลาดเกิดขึ้นเสียก่อน ขอบอกว่าการศึกครั้งนี้มีความสำคัญด้วยกัน 3 ประการ 1. มันเป็นเกมที่โทรฟี่พรีเมียร์ลีกจะเดินทางไปที่ แอนฟิลด์ เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 1995 (แถมครั้งนั้นมันเดินทางไปให้ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ได้สัมผัสและชื่นชม) 2. มันเป็นเกมที่ ลิเวอร์พูล มีสิทธิ์ทำสถิติเป็นทีมแรกและทีมเดียวในยุคพรีเมียร์ลีกที่ชนะในบ้านทั้ง 19 นัด 3. ถึงตอนนั้น เชลซี น่าจะยังคงบดบี้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด, เลสเตอร์ และวูล์ฟส์ เพื่อแย่งกันเป็น "ท็อปโฟร์" อย่างเมามัน พวกเขาจึงต้องการมีแต้มที่ แอนฟิลด์ สุดๆ คำถามคือแล้ว "เดอะ ค็อป" จะเล่นเต็มที่และใส่เต็มสูบมากขนาดไหน ในเมื่อชัยชนะของทีมตัวเองอาจหมายถึงการได้ไปเล่นใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ของคู่แค้นตลอดชาติอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด คิดดูนะครับว่าถ้าพลพรรคปีศาจแดงไม่ได้ไปเล่นในถ้วยใหญ่ยุโรปเป็นฤดูกาลที่ 2 ติดต่อกัน มันจะส่งผลเสียหายต่อพวกเขาอย่างหนักหนาสาหัสมากขนาดไหน ทั้งรายได้ที่จะหดหายไปอย่างมหาศาล รวมถึงแรงดึงดูดผู้เล่นระดับดาวดัง หากต้องการเป็นหนึ่งไปนานๆ พลางกดหัวคู่แค้นตลอดชาติของตัวเองให้ไม่ต้องไปผุดไปเกิด เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็แค่จัดตัวสำรอง + ดาวรุ่งลงไปยืดเส้นยืดสายในสนาม ต่อให้ไม่ชนะก็ไม่ถึงกับเสียหายอะไรมาก แค่อดทำสถิติต่างๆ อันเป็นผลพลอยได้จากการเป็นแชมป์เท่านั้นเอง ในเมื่อได้แชมป์ไปเรียบร้อยตั้งนานแล้ว ถ้าคิดแบบไทยๆ หรือคิดแบบ "คนไทย" ที่ตั้งใจทำอะไร ไม่แพ้ชาติใดในโลก ลิเวอร์พูล อาจยอมทิ้งสถิติอันสวยหรูของตัวเอง เพื่อกดหัวเจ้ากรรมและนายเวรของตัวเองให้อยู่ใต้ตีนไปนานๆ แต่ 'มืออาชีพ' คงไม่คิดแบบแฟนบอล 'มือสมัครเล่น' ในโลกโซเชี่ยลที่วันๆ นั่งเมนต์อะไรโง่ๆ ด่ากัน แล้วก็เอาชนะกันอยู่หน้าจอคอมฯ แน่นอนครับ พวกเขามีความเป็นมืออาชีพ และอุดมด้วยสปีริตมากพอที่จะไม่ทำอะไรแบบนั้น แม้กาลครั้งหนึ่ง สตีเว่น เจอร์ราร์ด จะเคยบรรจงถวายพานให้ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา เอาลูกไปกระทุ้งทีมตัวเองจน แมนฯ ยูไนเต็ด ชวดแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างน่าเจ็บใจมาแล้ว ซึ่งนั่นมันน่าจะเป็นเรื่องบังเอิญซะมากกว่า ย้อนกลับไปในเกมสุดท้ายของฤดูกาล 1994-95 แค่ ลิเวอร์พูล ยอมอ่อนข้อให้ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ของ เคนนี่ ดัลกลิช อดีตดาวเตะระดับตำนานของตัวเอง คู่แค้นอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด ก็จะหมดสิทธิ์เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกแบบไม่ต้องลุ้น ทว่าพวกเขากลับแสดงความเป็นมืออาชีพพลางทุ่มเทแบบเต็ม 80,000 ตีนถีบจนยัดเยียดความปราชัยให้ทีมกุหลาบไฟได้สำเร็จโดยไม่สนใจเรื่องอื่นใด หงส์แดงเต็มที่แบบไม่มีกั๊กแล้ว ทว่าพลพรรคปีศาจแดงดันไม่มีปัญญาเอาชนะ เวสต์แฮม เอง จึงส่งผลให้ทีมของ "คิง เคนนี่" ยังได้เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกอยู่ดี
ผู้มีจิตศรัทธาในปีศาจแดงสบายใจได้ครับ เพราะ ลิเวอร์พูล ย่อมนึกถึงศักดิ์ศรีและสถิติของตัวเองเป็นสำคัญ โดยไม่แยแสหรอกว่ามันจะช่วยให้ทีมคู่แค้นแบบฆ่าล้างโคตรของตัวเองได้ลืมตาอ้าปากหรือเปล่า ผมมั่นใจแบบเต็มประดาว่า ลิเวอร์พูล จะพยายามทำสถิติชนะในบ้านทั้ง 19 นัด เพื่อฉลองโทรฟี่พรีเมียร์ลีกที่ แอนฟิลด์ อย่างได้อารมณ์และความรู้สึกอันยิ่งใหญ่ เพียงแต่จะทำได้หรือเปล่า นั่นอีกเรื่องหนึ่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น