แม้จะยังคงอยู่ในอันดับที่ 5 ของตาราง
แต่ตอนนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นผู้กำหนดชะตากรรมของตัวเอง โดยไม่ต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจ คือหากชนะในอีก 4 นัดที่เหลือได้สำเร็จ พวกเขาติด 1 ใน 4 อันดับแรกของตารางอย่างแน่นอน เพราะเกมสุดท้ายมีอันต้องตัดกันเองกับจิ้งจอกสยามนี่แหละ ถามว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะถีบตูดตัวเองไปติดอันดับ "ท็อปโฟร์" ได้สำเร็จหรือไม่ ???
ถ้าถามคำถามนี้ เมื่อตอนพรีเมียร์ลีกกำลังจะ "รี-สตาร์ท" กลับเป็นนัดแรก หลังจากเว้นวรรคหนีโรคระบาดไปนานกว่า 3 เดือน ผมตอบว่า 50-50 เหตุเพราะตอนนั้น พลพรรคปีศาจแดงตามหลัง เชลซี อยู่ 3 แต้ม แถมตามหลัง เลสเตอร์ อยู่ถึง 8 แต้ม แม้โปรแกรมที่เหลือของ แมนฯ ยูไนเต็ด จะเบากว่าก็ตาม เมื่อกลับมาเซิ้งแข้งกันใหม่อีกครั้งในเกมที่ 30 ของฤดูกาล แมนฯ ยูไนเต็ด ทำได้แค่เสมอ สเปอร์ส 1-1 เลสเตอร์ ทำได้แค่เสมอ วัตฟอร์ด 1-1 เชลซี บุกไปเชือด แอสตัน วิลล่า 2-1สถานการณ์ขณะนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ตามหลังทีมจิ้งจอกสยาม 8 แต้มเท่าเดิม แต่ถูกทีมสิงห์น้ำเงินทิ้งห่างเป็น 5 แต้ม โดยเหลืออีก 8 นัด อาการของ เลสเตอร์ ซิตี้ ไม่ดีขึ้น 2 นัดต่อมา พวกเขาเก็บเพิ่มได้เพียงแค่แต้มเดียวเท่านั้น ขณะที่ เชลซี ก็มีสะดุด คือหลังยัดเยียดความปราชัยให้ แมนฯ ซิตี้ ส่งมอบตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกให้ลิเวอร์พูล พวกเขาพลาดท่าพ่าย เวสต์แฮม ซะอย่างนั้น ส่วน แมนฯ ยูไนเต็ด กะซวกชัยได้ 2 นัดติดต่อกัน ว่าแล้วก็ไล่บี้ เชลซี เหลือแค่ 2 แต้ม มิหนำยังตามหลัง เลสเตอร์ อยู่เพียง 3 แต้ม ณ จุดนั้น กุนซือปีศาจแดงอย่าง โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ให้สัมภาษณ์ว่าเขาไม่ได้หวังอันดับ 4 แต่หวังสูงถึงอันดับ 3 ของตารางเลยทีเดียว หลังจากเกมที่ 33 ของฤดูกาลผ่านไป โดยทั้ง เลสเตอร์, เชลซี และแมนฯ ยูไนเต็ด ได้รับชัยชนะเหมือนกันทั้ง 3 ทีม สถานการณ์จึงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง กระทั่งคืนวันอังคารที่ผ่านมา เชลซี บุกไปอัด คริสตัล พาเลซ ทำคะแนนทิ้งห่างไปเป็น 5 แต้ม แต่การไปเยือน เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ทำให้ "เดอะ ฟ็อกซ์" ต้องสะดุดอีกครั้ง เมื่อพลพรรคปีศาจแดงบุกขย่ม วิลล่า พาร์ค เมื่อคืนวันพฤหัสฯ ส่งผลให้พวกเขาตามหลัง เลสเตอร์ แค่แต้มเดียว และตาม เชลซี เพียง 2 แต้ม เท่านั้นไม่พอยังไม่ต้องพะวงหลังอีกต่างหาก เหตุพราะทีมที่ไล่หลังมาในอันดับ 6 อย่าง วูล์ฟส์ ดันพลาดท่าพ่ายแพ้ 2 นัดติดจนโดนทิ้งห่างถึง 6 แต้ม ว่าแล้วก็ต้องขออนุญาตดีใจพลางกระดี๊กระด๊าเป็นกรณีพิเศษหน่อยนะครับ หลังจากอึดอัดมาตลอดตั้งแต่ต้นฤดูกาล thepalmshoppingmall.com เหลือ 4 เกมสุดท้าย พิจารณาจากโปรแกรมที่เหลือของ เลสเตอร์ ถือว่าฮาร์ดคอร์สุด เพราะหลังจากไปเยือน อาร์เซน่อล แล้วยังต้องออกไปเยือน บอร์นมัธ ที่กำลังกระเสือกกระจนอย่างจงหนัก ก่อนกลับมารับมือ เชฟฯ ยูไนเต็ด ในบ้านตัวเอง แล้วค่อยออกไปเยือน สเปอร์ส ในเกมรองสุดท้ายของฤดูกาล ส่วนนัดสุดท้ายของฤดูกาลก็ต้องมาตัดกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม ทีนี้มาดูฝั่งของทีมสิงห์บลูส์กันบ้าง พวกเขาจะออกไปเยือน เชฟฯ ยูไนเต็ด ตามมาด้วยการปิดบ้านชำเรานกขมิ้นเหลืองอ่อนผู้น่าสงสาร 2 เกมนี้มีความเป็นไปได้พอสมควรที่ เชลซี จะกักตุน 6 แต้มเต็มๆ เข้ากระเป๋า ก่อนเกมที่ 37 ของฤดูกาลต้องยกพลไปเยือน แอนฟิลด์ ในวันที่ ลิเวอร์พูล มีพิธีรับโทรฟี่แชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี - โอกาสสะดุดมีสูง นัดสุดท้ายของฤดูกาล เชลซี จะเปิดบ้านรับมือ วูล์ฟส์ ที่ถึงตอนนั้นอาจจะหลุดวงโคจรไปแล้วก็เป็นได้
สำหรับ 4 นัดสุดท้ายของ แมนฯ ยูไนเต็ด
คืนวันจันทร์นี้เปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ เซาธ์แฮมป์ตัน ต่อด้วยการไปเยือน คริสตัล พาเลซ ก่อนฉะกับ เวสต์แฮม ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด โดยเกมสุดท้ายของฤดูกาลต้องบุกไปเยือน เลสเตอร์ ซิตี้ อย่างที่ทราบกันดีนั่นแหละ หาก แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าชัยชนะในทุกนัดที่เหลือ พวกเขาน่าจะติด 1 ใน 4 อันดับแรกของตารางแน่นอน นอกจากนี้ ถ้าลูกทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา พุ่งเข้าชนและวิ่งเข้าใส่ชัยชนะในอีก 3 นัดถัดไป มันมีความเป็นไปได้สูงมากที่ ก่อนถึงนัดสุดท้ายของฤดูกาล พวกเขาจะกระโดดขึ้นไปอยู่บนอันดับ 3 ของตาราง ด้วยข้อได้เปรียบตรงผลต่างประตูได้เสียที่ดีกว่า เชลซี
อย่างไรก็ตาม หากพลพรรคจิ้งจองสยามเร่งเครื่องกลับมากะซวกชัยชนะติดต่อกันได้อีกครั้ง มันก็มีโอกาสสูงมากที่ เลสเตอร์ กับ แมนฯ ยูไนเต็ด จะต้องมาตัดสินชะตากันในเกมสุดท้ายของฤดูกาล ซึ่งแทบไม่ต่างจากนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยที่มีตั๋วเดินทางไป ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นเดิมพัน ตอนนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด กำลังอยู่ในความมั่นใจแบบเต็มประดา หลังมีชัยในพรีเมียร์ลีก 4 เกมติดต่อกัน โดยเอาชนะคู่แข่งด้วยระยะห่าง 3 ประตู ทั้ง 4 นัด โดยกระหน่ำไป 14 ประตู เล่นมาตั้งนาน โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เพิ่งมาค้นพบทีมที่เหมาะสมและลงตัวที่สุด แล้วบรรจงใช้ผู้เล่น 11 ตัวจริงชุดเดิมอย่างต่อเนื่องมา 4 เกมติดต่อกัน บรูโน่ แฟร์นันด์ส ระเบิดฟอร์มสยดสยอง อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ก็สามารถทำลายตาข่ายได้อย่างต่อเนื่อง เนมานย่า มาติช กลับมาเป็นคนเดิมอีกครั้งพลางยึดตำแหน่งตัวจริงได้อย่างถาวร ปอล ป็อกบา ก็เริงระบำบนฟลอร์หญ้าอย่างมีความสุขและเสียวซ่าน มิหนำยังมีอาวุธทำลายล้างคนใหม่ที่โผล่ขึ้นมาได้ถูกที่ถูกเวลาเหลือเกินอย่าง เมสัน กรีนวู๊ด เกมรุกของปีศาจแดงและนาทีนี้จึงทรงอานุภาพยิ่งนัก แถมผู้ตัดสินกับ VAR ยังเป็นใจชอบแจก 'จุดโทษ' ให้ด้วย ว่าแล้วขอวอนผู้ตัดสินว่ากรุณาอย่าแจกจุดโทษให้ แมนฯ ยูไนเต็ด มากนักเลยครับ ต่อให้มันจะแจ้งก็แกล้งๆ เอาหูไปนา เอาตาไปไร่บ้างก็ได้ เพราะแจกจุดโทษทีไร พวกพี่ๆ เขาก็ลงไปชักดิ้นชักงอจะเป็นจะตายกันเสียให้ได้ ขอบอกว่าน่ากลัวมาก ทีมตัวเองได้ประโยชน์ทำเป็นยักไหล่ ใครแย้งก็ไม่ได้ เพราะโดนทัวร์ลงแน่ พอทีมอื่นได้ประโยชน์บ้างเท่านั้นแหละ ต่อมรักความยุติธรรมมันจะแตกโบ๊ะขึ้นมาทันที คำถามคือกุนซือเบบี้เฟซจะตะบี้ตะบันใช้ผู้เล่นชุดเดิมไปได้ตลอดหรือไม่ ??? ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าจะใช้ต่อเนื่องไปอีกกี่นัด เพราะอะไรที่ใช้อย่างต่อเนื่องไปนานๆ มันก็ย่อมสึกหลอเป็นธรรมดา แต่ถ้าไม่บาดเจ็บหรือไม่อ่อนล้า โดยทุกคนโชว์ฟอร์มได้ตามมาตรฐาน มันก็ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไรอยู่แล้ว กุญแจสำคัญอยู่ที่ "บรูโน่" นี่แหละครับ เพราะเขาสถาปนาตัวเองเป็นผู้เล่นที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ขาดไปไม่ได้ซะแล้ว หากเกมไหนไม่ได้ลงสนาม ขอบอกเลยว่ามีปัญหาแน่ ดังฉะนั้นต้องประคบประหงมประดุจไข่ในหิน ในส่วนของเกมรับ นับตั้งแต่พรีเมียร์ลีก "รี-สตาร์ท" กลับมา 5 นัด แมนฯ ยูไนเต็ด เสียประตูในพรีเมียร์ลีกไปแค่ 3 ลูกเท่านั้น เฉลี่ยต่อ 1 นัด เสียไม่ถึง 1 ประตู ดูเผินๆ เหมือนจะเหนียวแน่นและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เพียงแต่หากเจาะลึกลงไปในรายละเอียด คุณจะพบว่าทั้ง 3 ประตูที่เสียให้คู่แข่งเกิดจากความผิดพลาดของตัวเองทั้งสิ้น ประตูที่เสียให้คลับไก่ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ปล่อยให้คู่แข่งกระชากหนีตัวเองเข้าไปตะบันอย่างง่ายดาย ขณะที่นายทวารอย่าง ดาบิด เด เคอา ก็ถูกตราหน้าจากนักวิจารณ์ปากไฟจิ๋มนรกบางคนว่าต้องรับผิดชอบด้วยการโบกแท็กซี่กลับแมนเชสเตอร์เอง 2 ประตูที่โดนทีมท้ายตารางอย่าง บอร์นมัธ แย่งไปก็เช่นกัน ประตูแรก ปราการหลังค่าตัว 85 ล้านปอนด์เข้าบอลทะเล่อทะล่าจนถูกคู่แข่งแตะบอลรอดหว่างขา ขณะที่ ดาบิด เด เคอา ก็ปิดมุมเสาแรกไม่มิดซะอย่างนั้น ประตูที่ 2 เนมานย่า มาติช เบิ้ลคืนหลังไม่ค่อยดี บอลลอยโด่งจนเพื่อนเล่นยาก เอริก ไบยี่ พยายามพักอกแต่ดันยกต้นแขนขึ้นมาช่วยประคอง ผลคือผู้ตัดสินเป่าเป็นจุดโทษ ทั้งที่ดูยังไงก็ไม่ได้แฮนด์บอล เจตนาคือพักอกชัดเจน แถมบอลยังไม่เข้าเขตโทษอีกตะหาก
ตรงกันข้าม ถ้าได้จุดโทษในลักษณะนี้บ้าง มันจะแด๊นซ์ฟีเวอร์กันจนฝุ่นตลบเลยทีเดียวทั้ง 3 ประตูมาจากความผิดพลาดส่วนบุคคลล้วนๆ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่แก้ไม่หายนะครับ ยังดีที่เกมรุกอันทรงประสิทธิ์ภาพ บวกจุดโทษปริศนาสามารถทดแทนความผิดพลาดในเกมรับของตนเองเอาไว้ได้อย่างมิดชิด ว่าแล้วก็น่าเสียดายที่พรีเมียร์ลีกเหลือแค่ 4 เกมเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น