เกมนัดชิงชนะเลิศ ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ประจำฤดูกาล 2019/2020 ระหว่าง "เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค พบ "เปแอสเช" ปารีส แซงต์-แชร์กแมง
ในวันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคมนี้ มีประเด็นที่น่าสนใจอย่างมาก เกี่ยวกับการลงทุนในการซื้อผู้เล่นของทั้ง 2 สโมสร ยักษ์ใหญ่แห่งศึกบุนเดสลีกา มีลุ้นที่จะคว้าทริปเบิลแชมป์ หลังจากที่พวกเขาจัดการเอาชนะ บาร์เซโลน่า 8-2 ในรอบก่อนรองชนะเลิศ ตามด้วยถลุง โอลิมปิก ลียง 3-0 ในรอบตัดเชือก ขณะที่ แซงต์-แชร์กแมง เฉือน อตาลันตา 2-1 และถลุง แอร์เบ ไลป์ซิก 3-0
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทั้งสองทีมจะมีเส้นทางที่สวยหรูในการผ่านเข้าสู่รอบชิงถ้วยใบโตยุโรป แต่แนวทางในการสร้างทีมของพวกเขาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดย "เปแอสเช" กลายเป็นยอดทีมนับตั้งแต่การเข้ามาเทกโอเวอร์ของ "กาตาร์ สปอร์ตส์ อินเวสต์เมนต์" กลุ่มทุนในประเทศกาตาร์ เมื่อปี 2011 และใช้เงินเป็นทางลัดเมื่อทุ่มไมอั้นเพื่อหวังให้สโมสรยิ่งใหญ่คับโลก แซงต์-แชร์กแมง ใช้เงินไปแล้วประมาณ 1.1 พันล้านปอนด์ (ราว 41,800 ล้านบาท) เพื่อที่จะได้เข้ามาสู่รอบชิงชนะเลิศ โทรฟี่ "บิ๊กเอียร์" เป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์สโมสร โดยขุมกำลังชุดปัจจุบันของพวกเขาต้องใช้เม็ดเงินถึง 703.6 ล้านปอนด์ (ราว 26,736 ล้านบาท) ในการสร้างทีม หนึ่งในนั้นก็คือการทุ่มเงินซื้อ เนย์มาร์ จาก บาร์เซโลน่า ด้วยสถิติค่าตัวแพงที่สุดในโลก จำนวน 198 ล้านปอนด์ (ราว 7,524 ล้านบาท) และคู่หูถล่มประตู คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ประมาณ 162 ล้านปอนด์ (ราว 6,156 ล้านบาท) จาก อาแอส โมนาโก ขณะเดียวกัน 11 ตัวจริงทีมของกุนซือโธมัส ทูเคิ่ล ในเกมที่เอาชนะ แอร์เบ ไลป์ซิก ซึ่งไม่รวมเม็ดเงินตอนที่ซื้อ เอดินสัน คาวานี่ หัวหอกชาวอุรุกวัย กับ เมาโร่ อิการ์ดี้ ดาวยิงเลือดอาร์เจนไตน์ มีต้นทุนประมาณ 540.1 ล้านปอนด์ (ราว 20,523 ล้านบาท)
ประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับการลงทุนในการซื้อผู้เล่นของทั้ง 2 สโมสร
ในกรณีที่เปรียบเทียบกับ บาเยิร์น มิวนิค ต้องบอกเลยว่าเม็ดเงินที่ใช้ไปห่างกันราวฟ้ากับเหว ยกตัวอย่าง 11 ผู้เล่นตัวจริงของยอดทีมแห่งถิ่นอัลลิอันซ์ อารีน่า ในเกมถลุง โอลิมปิก ลียง มีต้นทุนอยู่แค่ 90.1 ล้านปอนด์ (ราว 3,423 ล้านบาท) เท่านั้น ซึ่งเงินจำนวนนั้นเพียงแค่หนึ่งในหกของเม็ดเงินที่ "เปแอสเช" ใช้จ่าย
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ "เสือใต้" ใช้เงินทุนไม่สูงมาจากวิธีการสร้างทีมของพวกเขา ยกตัวอย่างการคว้าตัว โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ แบบไม่มีค่าตัว ขณะที่ โธมัส มุลเลอร์ เป็นเด็กปั้นของสโมสร ส่วน ดาวิด อลาบา ถูกดึงตัวมาจาก ออสเตรีย เวียนนา ด้วยค่าตัวแค่ 135,000 ปอนด์ (ราว 5.13 ล้านบาท) เท่านั้น ที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นก็คือผู้เล่นที่ลงสนามตัวจริง playnewzealandgolf.com และเป็นการเซ็นสัญญาที่แพงที่สุดของ บาเยิร์น ในเกมเมื่อวันพุธที่ 19 ส.ค.ที่ผ่านมาก็คือ มานูเอล นอยเออร์ ผู้รักษาประตูทีมชาติเยอรมนี ที่ย้ายจาก ชาลเก้ 04 ด้วยสนนราคาแค่ 27 ล้านปอนด์ (ราว 1,026 ล้านบาท) เมื่อปี 2011 สำหรับขุมกำลังทั้งหมดของ บาเยิร์น นั้นใช้เงินทุนไปแค่ 330 ล้านปอนด์ (ราว 12,540 ล้านบาท) โดยผู้เล่นที่มีค่าตัวสูงอย่าง ลูกัส แอร์กน็องเดซค่าตัว 72 ล้านปอนด์ (ราว 2,736 ล้านบาท) , ฆาบี้ มาร์ติเนซ ค่าตัว 36 ล้านปอนด์ (ราว 1,368 ล้านบาท), และ โกร็องแต็ง โตลิสโซ่ ค่าตัว 37.3 ล้านปอนด์ (ราว 1,417 ล้านบาท) ก็ไม่ได้แพงมากนัก แม้จะไม่ค่อยได้ลงเล่นตัวจริงอย่างต่อเนื่องก็ตาม
จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าต้นทุนในการสร้างทีมของ บาเยิร์น เพียงแค่ 330 ล้านปอนด์ ซึ่งน้อยกว่าครึ่งหนึ่งที่ แซงต์-แชร์กแมง ใช้จ่ายไป (703.6 ล้านปอนด์) ฉะนั้นในเกมนัดชิงวันอาทิตย์ จะได้รู้ว่าเม็ดเงินที่ทุ่มลงไปของทั้ง 2 ทีมจะคุ้มค่าหรือไม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น