การปลดล็อกครั้งสำคัญของเลสเตอร์
ชัยชนะ 3-0 เหนือทีมที่เอาแน่เอานอนไม่ได้อย่าง คริสตัล พาเลซ อาจเป็นเรื่องไม่น่าปลาบปลื้มอะไรนักถ้าย้อนเวลากลับไปช่วงครึ่งฤดูกาลแรก
แต่ไม่ใช่กับช่วงเวลานี้ที่ทีมจิ้งจอกสีน้ำเงินกำลังต้องการจุดเปลี่ยนให้อะไรต่อมิอะไรกลับมาเข้าที่เข้าทางอีกครั้งแน่ ทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ชนะได้แค่เกมเดียวจาก 8 นัดหลังสุด อันดับยังรั้งที่สามของตารางก็จริงแต่สถานการณ์สุ่มเสี่ยงมากขึ้น โอกาสไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เริ่มไม่มั่นคงทั้งๆ ที่เคยโกยคะแนนเป็นว่าเล่นจนขึ้นไปลุ้นแชมป์กับลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ด้วยซ้ำ เวลานี้การแย่งชิงตั๋วอีก 2 ใบของแชมเปี้ยนส์ ลีกเข้มข้นอย่างหนักจากการแผ่วของเลสเตอร์เองและการเร่งเครื่องขึ้นมาของทีมอันดับ 5 กับ 6 อย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดและวูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ขณะที่เชลซีอันดับ 4 ก็ยังไปได้เรื่อยๆ แม้จะมีสะดุดบ้าง
กลับมาเตะเกมแรกสัปดาห์ที่ 30 เชลซีกับวูล์ฟส์ชนะ ยูไนเต็ดกับเลสเตอร์เสมอ เกมถัดมาสัปดาห์ที่ 31 ยูไนเต็ด วูล์ฟส์ เชลซีชนะ เลสเตอร์เสมอ เกมที่แล้วในสัปดาห์ที่ 32 ยูไนเต็ดกับวูล์ฟส์ชนะ เลสเตอร์กับเชลซีแพ้ เกมล่าสุดสัปดาห์ที่ 33 ยูไนเต็ด เลสเตอร์ เชลซีชนะ วูล์ฟส์แพ้ เหลือเกมเตะอีก 5 นัด 58 คะแนนของเลสเตอร์ดูดีกว่า 57 คะแนนของเชลซี 55 คะแนนของแมนฯ ยูไนเต็ด และ 52 คะแนนของวูล์ฟแฮมป์ตันแน่แต่ประมาทไม่ได้เลย อาร์เซน่อล (เยือน) บอร์นมัธ (เยือน) เชฟฯ ยูไนเต็ด (เหย้า) สเปอร์ส (เยือน) แมนฯ ยูไนเต็ด (เหย้า) คือ 5 เกมสุดท้ายที่รออยู่ ใน 15 คะแนนที่เหลือให้เก็บ น่าสนใจว่าพวกเขาจะทำได้สักกี่แต้ม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในเกมล่าสุดเป็นประโยชน์ต่อเลสเตอร์จริงๆ มันอาจเป็นการปลดล็อกครั้งสำคัญที่สุดของฤดูกาลสำหรับทีมจิ้งจอกสีน้ำเงินอย่างที่บอก มันคือชัยชนะที่สำคัญในระดับยอดปรารถนา เลสเตอร์ต้องการ 3 คะแนนมากกว่าสิ่งใด รูปแบบการเล่นความสวยงามหวือหวาหรือการเล่นอันน่าประทับใจเป็นเรื่องรอง พวกเขาต้องถลกแขนเสื้อสู้เพื่อเก็บชัยชนะกระชากโมเมนตัมที่กำลังหัวปักทิ้งไป ที่น่าสนใจคือบีร็อดแสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมในเรื่องแท็กติกของเขา 4-5-1 ที่ไม่ค่อยทำงานในช่วงหลังถูกปรับเป็น 3-4-1-2 เกมรับรัดกุมด้วยเซนเตอร์แบ๊ก 3 คน ที่ตัวฝั่งขนาบซ้ายขวาของ จอนนี่ อีแวนส์ อย่าง คากลาร์ โซยุนชู และ เจมส์ จัสติน จะเบี่ยงฉีกไปรองช่วย เบน ชิลเวลล์ กับ มาร์ค อัลไบรท์ตัน วิงแบ๊กทั้ง 2 ฝั่งรับมือตัวริมเส้นแสบๆ ของทีมเยือนทั้ง วิลฟรีด ซาฮา และ จอร์แดน อายิว เป็นการปรับกระบวนทัพรับมือกับฟอร์มที่กำลังหล่นหายเกมรับยวบโดยเฉพาะจากผลงานกลับมาเตะอีกครั้ง 4 เกมทุกรายการเก็บคลีนชีตแค่นัดเดียวแถมไม่ชนะใครเลยอีกต่างหาก เหตุผลอีกข้อหนึ่งอาจเป็นเพราะบีร็อดต้องการรูปแบบที่ทดแทนการขาดหายไปของ ริคาร์โด้ เปเรยร่า แบ๊กขวาตัวจริง นอกเหนือไปจากนั้น ร็อดเจอร์สยังกล้ายัด เคเลชี่ อิเฮียนาโช่ ลงสนาม อดีตกองหน้าแมนฯ ซิตี้ คือกุญแจสำคัญในรูปแบบการเล่นนี้ของบีร็อด คล่อง ทักษะดี แข็งแรง หาพื้นที่เก่ง แบ่งเบาภาระของ เจมี่ วาร์ดี้ ได้มากในระดับกองหน้า 2 คน มีอิเฮียนาโช่คอยรบกวนกองหลังให้ วาร์ดี้ก็มีพื้นที่เล่นมากขึ้น อึดอัดน้อยลง เข้าสู่ปี 2020 มาดาวยิงวัย 33 เล่นอย่างกดดันเพราะเพิ่งจะทำประตูได้แค่เกมเดียวเท่านั้นด้วยรูปแบบการเล่นที่ยืนหน้าเดี่ยว เมื่อแดนกลางติดขัดบอลก็ไปถึงเขาน้อยลง ร็อดเจอร์สเลือกเพิ่มกองหน้าเป็น 2 คนแลกกับแดนกลางที่น้อยลงหนึ่งคนในเกมที่เหมาะสมเพราะกลางสนามของทีมปราสาทเรือนแก้วไม่ได้โดดเด่นเท่าริมเส้น และเมื่อผลออกมาด้วยชัยชนะก็ต้องยกให้เป็นเครดิตของอดีตนายใหญ่สวอนซีและลิเวอร์พูลจริงๆ ที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันคือความผิดพลาดของ มามาดู ซาโก้ ที่ทำให้พาเลซเสียประตูที่สองไม่เพียงแทบจะยื่น 3 คะแนนให้เลสเตอร์เท่านั้น หากยังเป็นการปลุกความมั่นใจของ เจมี่ วาร์ดี้ ให้กลับมาโดยไม่จำเป็นอีกด้วย อารมณ์ตึงเครียดของวาร์ดี้ผ่อนคลาย ดูประตูฝัง 3-0 ก็ได้ เขาสปีดหลุดเดี่ยวเข้าไปยิงในแบบ "วาร์ดี้ๆ" ที่เราคุ้นเคย บิดข้อเท้าแปให้บอลลอยสูงระดับหน้าอกผ่านการออกมาปิดมุมของ บิเซนเต้ กวยต้า นายทวารสเปน ประตูที่ 100 และ 101 ในลีกสูงสุดของวาร์ดี้ทำให้เขากลายเป็นนักเตะประวัติศาสตร์ที่ยิงในลีกสูงสุดให้กับสโมสรถึงร้อยประตูคนแรกนับตั้งแต่ อาร์เธอร์ ล็อกเฮด เมื่อฤดูกาล 1933/34 นั่นคือสิ่งที่ ซาโก้ มอบให้วาร์ดี้และเลสเตอร์ ซิตี้ แถมยังกระเทือนไปถึง เชลซี แมนฯ ยูไนเต็ด และ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ที่จะเจอหางเลขไปด้วยแน่ๆ ถ้าวาร์ดี้กลับมาท็อปฟอร์มอีกครั้ง จากสภาวะสุ่มเสี่ยงเก็บได้แค่ 2 คะแนนจาก 3 นัด เลสเตอร์ ซิตี้ อาจกลับมาเข้ารูปเข้ารอยจากชัยชนะนัดนี้
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก..
การไปเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้าจากอันดับบนตารางพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้น่าจะเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ลำดับที่ 3 ของสโมสรต่อจาก แชมป์ประวัติศาสตร์เมื่อปี 2016 และวีรกรรมหนีตายอย่างเหลือเชื่อในปี 2015 จะว่าไปแล้วเลสเตอร์นี่แหละที่สร้างเรื่องน่าทึ่งไม่แพ้ใครตลอดทศวรรษที่ผ่านมา และอาจจะพูดได้ว่ามากกว่าใครทั้งมวลในรอบครึ่งทศวรรษหลัง ทั้ง 2 ครั้งคือภารกิจในระดับยิ่งกว่าเป็นไปไม่ได้ โอเคมันเกิดขึ้นแล้ว เป็นไปได้แล้ว ความรู้สึกของเราไม่ได้ตะลึงพรึงเพริดกับมันเหมือนตอนที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ๆ แต่มันก็คือความเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง
พรีเมียร์ลีก 2014/15 เลสเตอร์ ซิตี้ ของ ไนเจล เพียร์สัน ชนะ 7 เสมอ 1 แพ้ 1 จาก 9 นัดสุดท้ายรอดพ้นการตกชั้น ซัมเมอร์ 2015 เพียร์สันสละเก้าอี้ผู้จัดการทีมจากปัญหาเรื่องลูกชายที่ถูกสโมสรตัดชื่อออกด้วยเหตุถ่ายคลิปอื้อฉาวระหว่างปรีซีซั่นในเมืองไทย พรีเมียร์ลีก 2015/16 เลสเตอร์ ซิตี้ ของ เคลาดิโอ รานิเอรี่ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อยู่เหนือกว่าแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เหนือกว่าเชลซี เหนือกว่าสเปอร์ส ลิเวอร์พูล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อาร์เซน่อล ทีมจิ้งจอกสีน้ำเงินมีอัตราต่อรองแชมป์ 5,000/1 ก่อนเปิดฤดูกาล วีรกรรมเหล่านั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวดราม่า เป็นสตอรี่ระดับมาสเตอร์พีซพูดกันไปได้อีกร้อยปี มันคือช่วงเวลา 2 ปีที่เหาะเหินเดินอากาศราวรถไฟเหาะ มีขึ้นสุด ลงสุด แล้วก็ขึ้นสุดอีกที ไม่มีใครคาดหวังว่าพวกเขาจะทำได้อีก แต่ในฤดูกาลนี้พวกเขากำลังจะทำในสิ่งที่ใกล้เคียงกับวีรกรรมเหลือเชื่อ 2 ครั้งก่อน ไม่หวือหวาเท่า แต่ก็หวือหวาแน่ เสือสิงห์กระทิงแรดยังเต็มดงเหมือนเดิม บิ๊กซิกซ์ทั้ง 6 ก็ยังอยู่กันครบ อัดแน่นด้วยซูเปอร์สตาร์และดีกรี จากคราวนั้นสู่คราวนี้แมนฯ ซิตี้ พ่วงตำแหน่งแชมป์ลีก 2 สมัยซ้อนทำแต้มรวม 198 แต้ม ลิเวอร์พูลเข้าชิงเจ้ายุโรป 2 ปีติดและเป็นแชมป์โลก แมนฯ ยูไนเต็ดดึง ปอล ป๊อกบา คืนถิ่นและมีกองหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลก อาร์เซน่อลซื้อ อเลซ็องดร์ ลากาแซตต์ ซื้อ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง ซื้อ นิโกล่าส์ เปเป้ เชลซีซื้อและขาย อัลบาโร่ โมราต้า ซื้อนายประตูแพงที่สุดในโลก คว้า เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ไปจากคิงเพาเวอร์ สเตเดี้ยม สเปอร์สเป็นรองแชมป์ยุโรป ได้ โชเซ่ มูรินโญ่ คุมทัพ ไล่มาให้ดูเพื่อให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น บิ๊กซิกซ์ยังอยู่ดีมีชาติตระกูลขณะที่เลสเตอร์เองเปลี่ยนโฉมหน้าไปมาก นักเตะจากทีมชุดแชมป์เหลืออยู่ไม่กี่คน แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล เวส มอร์แกน คริสเตียน ฟุคส์ มาร์ค อัลไบรท์ตัน เจมี่ วาร์ดี้ ส่วน แอนดี้ คิง ถูกปล่อยให้ทีมนั้นทีมนี้ยืมตัวทั้ง ดาร์บี้ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ ก็องเต้ กับ ริยาด มาห์เรซ ดาวที่เติบโตมาจากดินไม่อยู่แล้ว นักเตะโลว์โปรไฟล์แต่เป็นคีย์แมนในทีมชุดแชมป์อย่าง โรเบิร์ต ฮูธ แดนนี่ ซิมพ์สัน แดนนี่ ดริงก์วอเตอร์ ชินจิ โอกาซากิ เลโอนาร์โด้ อูยัว ก็แยกย้ายกันไปตามทาง three4design.com ไม่มีใครคิดว่าพวกเขาจะสร้างเทพนิยายใดๆ ได้อีก มันเป็นธรรมชาติของทีมที่พุ่งขึ้นมาเหมือนพลุ สว่างวาบแวบเดียวก็หายไป ฤดูกาลป้องกันแชมป์แพ้เป็นว่าเล่นถึง 18 นัด หล่นไปอยู่อันดับ 12 เก็บได้แค่ 44 คะแนนน้อยกว่าเดิมถึง 37 คะแนนและถูกแชมป์อย่างเชลซีทิ้งกระจุย 49 แต้ม ฤดูกาลถัดมาแพ้ 15 เกมจบอันดับ 9 แต้มกระเตื้องขึ้นมาเป็น 47 ขณะที่ฤดูกาลก่อนแพ้ 16 เกมแต่ชนะมากหน่อยแต้มขยับไปจบที่ 52 กระนั้นก็ยังถูกเรือใบสีฟ้าทิ้งลิ่ว 46 แต้ม เลสเตอร์กลับไปอยู่ในที่ที่ควรอยู่เมื่อวัดจากชื่อชั้นและคุณภาพของทีม ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาวะปกติ ก็เทพนิยายไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นง่ายๆ บ่อยๆ
แต่ฤดูกาลนี้มันก็อย่างที่เห็น ร็อดเจอร์สพาทีมจิ้งจอกสีน้ำเงินหักปากกาเซียนในหลายๆ เกมกระโจนขึ้นมาท้าทายอำนาจของทีมใหญ่ได้อย่างน่าประทับใจ กับลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เซ็ตมาตรฐานเอาไว้สูงลิบต้องยอมศิโรราบจริงๆ แต่กับทีมใหญ่เล็กอื่นๆ ที่เหลือ เลสเตอร์ ไม่กลัวใครเลย พวกเขายังอยู่อันดับ 3 ของตาราง ผลงานช่วงหลังอาจจะสะดุดจนน่ากังวลแต่ชัยชนะล่าสุดนั้นน่าสนใจว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญจริงไหม เกมนัดต่อไปที่จะบุกเยือนอาร์เซน่อลคืนวันอังคารนี้น่าจะให้คำตอบที่ชัดเจนขึ้นว่าเลสเตอร์ ซิตี้ยังยืนอย่างมั่นคงแค่ไหนบนเส้นทางล่าตั๋วแชมเปี้ยนส์ ลีกฤดูกาลนี้