วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

การปลดล็อกครั้งสำคัญของเลสเตอร์


ชัยชนะ 3-0 เหนือทีมที่เอาแน่เอานอนไม่ได้อย่าง คริสตัล พาเลซ อาจเป็นเรื่องไม่น่าปลาบปลื้มอะไรนักถ้าย้อนเวลากลับไปช่วงครึ่งฤดูกาลแรก


แต่ไม่ใช่กับช่วงเวลานี้ที่ทีมจิ้งจอกสีน้ำเงินกำลังต้องการจุดเปลี่ยนให้อะไรต่อมิอะไรกลับมาเข้าที่เข้าทางอีกครั้งแน่ ทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ชนะได้แค่เกมเดียวจาก 8 นัดหลังสุด อันดับยังรั้งที่สามของตารางก็จริงแต่สถานการณ์สุ่มเสี่ยงมากขึ้น โอกาสไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เริ่มไม่มั่นคงทั้งๆ ที่เคยโกยคะแนนเป็นว่าเล่นจนขึ้นไปลุ้นแชมป์กับลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ด้วยซ้ำ เวลานี้การแย่งชิงตั๋วอีก 2 ใบของแชมเปี้ยนส์ ลีกเข้มข้นอย่างหนักจากการแผ่วของเลสเตอร์เองและการเร่งเครื่องขึ้นมาของทีมอันดับ 5 กับ 6 อย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดและวูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ขณะที่เชลซีอันดับ 4 ก็ยังไปได้เรื่อยๆ แม้จะมีสะดุดบ้าง

กลับมาเตะเกมแรกสัปดาห์ที่ 30 เชลซีกับวูล์ฟส์ชนะ ยูไนเต็ดกับเลสเตอร์เสมอ เกมถัดมาสัปดาห์ที่ 31 ยูไนเต็ด วูล์ฟส์ เชลซีชนะ เลสเตอร์เสมอ เกมที่แล้วในสัปดาห์ที่ 32 ยูไนเต็ดกับวูล์ฟส์ชนะ เลสเตอร์กับเชลซีแพ้ เกมล่าสุดสัปดาห์ที่ 33 ยูไนเต็ด เลสเตอร์ เชลซีชนะ วูล์ฟส์แพ้ เหลือเกมเตะอีก 5 นัด 58 คะแนนของเลสเตอร์ดูดีกว่า 57 คะแนนของเชลซี 55 คะแนนของแมนฯ ยูไนเต็ด และ 52 คะแนนของวูล์ฟแฮมป์ตันแน่แต่ประมาทไม่ได้เลย อาร์เซน่อล (เยือน) บอร์นมัธ (เยือน) เชฟฯ ยูไนเต็ด (เหย้า) สเปอร์ส (เยือน) แมนฯ ยูไนเต็ด (เหย้า) คือ 5 เกมสุดท้ายที่รออยู่ ใน 15 คะแนนที่เหลือให้เก็บ น่าสนใจว่าพวกเขาจะทำได้สักกี่แต้ม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในเกมล่าสุดเป็นประโยชน์ต่อเลสเตอร์จริงๆ มันอาจเป็นการปลดล็อกครั้งสำคัญที่สุดของฤดูกาลสำหรับทีมจิ้งจอกสีน้ำเงินอย่างที่บอก มันคือชัยชนะที่สำคัญในระดับยอดปรารถนา เลสเตอร์ต้องการ 3 คะแนนมากกว่าสิ่งใด รูปแบบการเล่นความสวยงามหวือหวาหรือการเล่นอันน่าประทับใจเป็นเรื่องรอง พวกเขาต้องถลกแขนเสื้อสู้เพื่อเก็บชัยชนะกระชากโมเมนตัมที่กำลังหัวปักทิ้งไป ที่น่าสนใจคือบีร็อดแสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมในเรื่องแท็กติกของเขา 4-5-1 ที่ไม่ค่อยทำงานในช่วงหลังถูกปรับเป็น 3-4-1-2 เกมรับรัดกุมด้วยเซนเตอร์แบ๊ก 3 คน ที่ตัวฝั่งขนาบซ้ายขวาของ จอนนี่ อีแวนส์ อย่าง คากลาร์ โซยุนชู และ เจมส์ จัสติน จะเบี่ยงฉีกไปรองช่วย เบน ชิลเวลล์ กับ มาร์ค อัลไบรท์ตัน วิงแบ๊กทั้ง 2 ฝั่งรับมือตัวริมเส้นแสบๆ ของทีมเยือนทั้ง วิลฟรีด ซาฮา และ จอร์แดน อายิว เป็นการปรับกระบวนทัพรับมือกับฟอร์มที่กำลังหล่นหายเกมรับยวบโดยเฉพาะจากผลงานกลับมาเตะอีกครั้ง 4 เกมทุกรายการเก็บคลีนชีตแค่นัดเดียวแถมไม่ชนะใครเลยอีกต่างหาก เหตุผลอีกข้อหนึ่งอาจเป็นเพราะบีร็อดต้องการรูปแบบที่ทดแทนการขาดหายไปของ ริคาร์โด้ เปเรยร่า แบ๊กขวาตัวจริง นอกเหนือไปจากนั้น ร็อดเจอร์สยังกล้ายัด เคเลชี่ อิเฮียนาโช่ ลงสนาม อดีตกองหน้าแมนฯ ซิตี้ คือกุญแจสำคัญในรูปแบบการเล่นนี้ของบีร็อด คล่อง ทักษะดี แข็งแรง หาพื้นที่เก่ง แบ่งเบาภาระของ เจมี่ วาร์ดี้ ได้มากในระดับกองหน้า 2 คน มีอิเฮียนาโช่คอยรบกวนกองหลังให้ วาร์ดี้ก็มีพื้นที่เล่นมากขึ้น อึดอัดน้อยลง เข้าสู่ปี 2020 มาดาวยิงวัย 33 เล่นอย่างกดดันเพราะเพิ่งจะทำประตูได้แค่เกมเดียวเท่านั้นด้วยรูปแบบการเล่นที่ยืนหน้าเดี่ยว เมื่อแดนกลางติดขัดบอลก็ไปถึงเขาน้อยลง ร็อดเจอร์สเลือกเพิ่มกองหน้าเป็น 2 คนแลกกับแดนกลางที่น้อยลงหนึ่งคนในเกมที่เหมาะสมเพราะกลางสนามของทีมปราสาทเรือนแก้วไม่ได้โดดเด่นเท่าริมเส้น และเมื่อผลออกมาด้วยชัยชนะก็ต้องยกให้เป็นเครดิตของอดีตนายใหญ่สวอนซีและลิเวอร์พูลจริงๆ ที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันคือความผิดพลาดของ มามาดู ซาโก้ ที่ทำให้พาเลซเสียประตูที่สองไม่เพียงแทบจะยื่น 3 คะแนนให้เลสเตอร์เท่านั้น หากยังเป็นการปลุกความมั่นใจของ เจมี่ วาร์ดี้ ให้กลับมาโดยไม่จำเป็นอีกด้วย อารมณ์ตึงเครียดของวาร์ดี้ผ่อนคลาย ดูประตูฝัง 3-0 ก็ได้ เขาสปีดหลุดเดี่ยวเข้าไปยิงในแบบ "วาร์ดี้ๆ" ที่เราคุ้นเคย บิดข้อเท้าแปให้บอลลอยสูงระดับหน้าอกผ่านการออกมาปิดมุมของ บิเซนเต้ กวยต้า นายทวารสเปน ประตูที่ 100 และ 101 ในลีกสูงสุดของวาร์ดี้ทำให้เขากลายเป็นนักเตะประวัติศาสตร์ที่ยิงในลีกสูงสุดให้กับสโมสรถึงร้อยประตูคนแรกนับตั้งแต่ อาร์เธอร์ ล็อกเฮด เมื่อฤดูกาล 1933/34 นั่นคือสิ่งที่ ซาโก้ มอบให้วาร์ดี้และเลสเตอร์ ซิตี้ แถมยังกระเทือนไปถึง เชลซี แมนฯ ยูไนเต็ด และ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ที่จะเจอหางเลขไปด้วยแน่ๆ ถ้าวาร์ดี้กลับมาท็อปฟอร์มอีกครั้ง จากสภาวะสุ่มเสี่ยงเก็บได้แค่ 2 คะแนนจาก 3 นัด เลสเตอร์ ซิตี้ อาจกลับมาเข้ารูปเข้ารอยจากชัยชนะนัดนี้

three4design.com

ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก..


การไปเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้าจากอันดับบนตารางพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้น่าจะเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ลำดับที่ 3 ของสโมสรต่อจาก แชมป์ประวัติศาสตร์เมื่อปี 2016 และวีรกรรมหนีตายอย่างเหลือเชื่อในปี 2015 จะว่าไปแล้วเลสเตอร์นี่แหละที่สร้างเรื่องน่าทึ่งไม่แพ้ใครตลอดทศวรรษที่ผ่านมา และอาจจะพูดได้ว่ามากกว่าใครทั้งมวลในรอบครึ่งทศวรรษหลัง ทั้ง 2 ครั้งคือภารกิจในระดับยิ่งกว่าเป็นไปไม่ได้ โอเคมันเกิดขึ้นแล้ว เป็นไปได้แล้ว ความรู้สึกของเราไม่ได้ตะลึงพรึงเพริดกับมันเหมือนตอนที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ๆ แต่มันก็คือความเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง

พรีเมียร์ลีก 2014/15 เลสเตอร์ ซิตี้ ของ ไนเจล เพียร์สัน ชนะ 7 เสมอ 1 แพ้ 1 จาก 9 นัดสุดท้ายรอดพ้นการตกชั้น ซัมเมอร์ 2015 เพียร์สันสละเก้าอี้ผู้จัดการทีมจากปัญหาเรื่องลูกชายที่ถูกสโมสรตัดชื่อออกด้วยเหตุถ่ายคลิปอื้อฉาวระหว่างปรีซีซั่นในเมืองไทย พรีเมียร์ลีก 2015/16 เลสเตอร์ ซิตี้ ของ เคลาดิโอ รานิเอรี่ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อยู่เหนือกว่าแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เหนือกว่าเชลซี เหนือกว่าสเปอร์ส ลิเวอร์พูล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อาร์เซน่อล ทีมจิ้งจอกสีน้ำเงินมีอัตราต่อรองแชมป์ 5,000/1 ก่อนเปิดฤดูกาล วีรกรรมเหล่านั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวดราม่า เป็นสตอรี่ระดับมาสเตอร์พีซพูดกันไปได้อีกร้อยปี มันคือช่วงเวลา 2 ปีที่เหาะเหินเดินอากาศราวรถไฟเหาะ มีขึ้นสุด ลงสุด แล้วก็ขึ้นสุดอีกที ไม่มีใครคาดหวังว่าพวกเขาจะทำได้อีก แต่ในฤดูกาลนี้พวกเขากำลังจะทำในสิ่งที่ใกล้เคียงกับวีรกรรมเหลือเชื่อ 2 ครั้งก่อน ไม่หวือหวาเท่า แต่ก็หวือหวาแน่ เสือสิงห์กระทิงแรดยังเต็มดงเหมือนเดิม บิ๊กซิกซ์ทั้ง 6 ก็ยังอยู่กันครบ อัดแน่นด้วยซูเปอร์สตาร์และดีกรี จากคราวนั้นสู่คราวนี้แมนฯ ซิตี้ พ่วงตำแหน่งแชมป์ลีก 2 สมัยซ้อนทำแต้มรวม 198 แต้ม ลิเวอร์พูลเข้าชิงเจ้ายุโรป 2 ปีติดและเป็นแชมป์โลก แมนฯ ยูไนเต็ดดึง ปอล ป๊อกบา คืนถิ่นและมีกองหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลก อาร์เซน่อลซื้อ อเลซ็องดร์ ลากาแซตต์ ซื้อ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง ซื้อ นิโกล่าส์ เปเป้ เชลซีซื้อและขาย อัลบาโร่ โมราต้า ซื้อนายประตูแพงที่สุดในโลก คว้า เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ไปจากคิงเพาเวอร์ สเตเดี้ยม สเปอร์สเป็นรองแชมป์ยุโรป ได้ โชเซ่ มูรินโญ่ คุมทัพ ไล่มาให้ดูเพื่อให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น บิ๊กซิกซ์ยังอยู่ดีมีชาติตระกูลขณะที่เลสเตอร์เองเปลี่ยนโฉมหน้าไปมาก นักเตะจากทีมชุดแชมป์เหลืออยู่ไม่กี่คน แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล เวส มอร์แกน คริสเตียน ฟุคส์ มาร์ค อัลไบรท์ตัน เจมี่ วาร์ดี้ ส่วน แอนดี้ คิง ถูกปล่อยให้ทีมนั้นทีมนี้ยืมตัวทั้ง ดาร์บี้ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ ก็องเต้ กับ ริยาด มาห์เรซ ดาวที่เติบโตมาจากดินไม่อยู่แล้ว นักเตะโลว์โปรไฟล์แต่เป็นคีย์แมนในทีมชุดแชมป์อย่าง โรเบิร์ต ฮูธ แดนนี่ ซิมพ์สัน แดนนี่ ดริงก์วอเตอร์ ชินจิ โอกาซากิ เลโอนาร์โด้ อูยัว ก็แยกย้ายกันไปตามทาง three4design.com ไม่มีใครคิดว่าพวกเขาจะสร้างเทพนิยายใดๆ ได้อีก มันเป็นธรรมชาติของทีมที่พุ่งขึ้นมาเหมือนพลุ สว่างวาบแวบเดียวก็หายไป ฤดูกาลป้องกันแชมป์แพ้เป็นว่าเล่นถึง 18 นัด หล่นไปอยู่อันดับ 12 เก็บได้แค่ 44 คะแนนน้อยกว่าเดิมถึง 37 คะแนนและถูกแชมป์อย่างเชลซีทิ้งกระจุย 49 แต้ม ฤดูกาลถัดมาแพ้ 15 เกมจบอันดับ 9 แต้มกระเตื้องขึ้นมาเป็น 47 ขณะที่ฤดูกาลก่อนแพ้ 16 เกมแต่ชนะมากหน่อยแต้มขยับไปจบที่ 52 กระนั้นก็ยังถูกเรือใบสีฟ้าทิ้งลิ่ว 46 แต้ม เลสเตอร์กลับไปอยู่ในที่ที่ควรอยู่เมื่อวัดจากชื่อชั้นและคุณภาพของทีม ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาวะปกติ ก็เทพนิยายไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นง่ายๆ บ่อยๆ

แต่ฤดูกาลนี้มันก็อย่างที่เห็น ร็อดเจอร์สพาทีมจิ้งจอกสีน้ำเงินหักปากกาเซียนในหลายๆ เกมกระโจนขึ้นมาท้าทายอำนาจของทีมใหญ่ได้อย่างน่าประทับใจ กับลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เซ็ตมาตรฐานเอาไว้สูงลิบต้องยอมศิโรราบจริงๆ แต่กับทีมใหญ่เล็กอื่นๆ ที่เหลือ เลสเตอร์ ไม่กลัวใครเลย พวกเขายังอยู่อันดับ 3 ของตาราง ผลงานช่วงหลังอาจจะสะดุดจนน่ากังวลแต่ชัยชนะล่าสุดนั้นน่าสนใจว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญจริงไหม เกมนัดต่อไปที่จะบุกเยือนอาร์เซน่อลคืนวันอังคารนี้น่าจะให้คำตอบที่ชัดเจนขึ้นว่าเลสเตอร์ ซิตี้ยังยืนอย่างมั่นคงแค่ไหนบนเส้นทางล่าตั๋วแชมเปี้ยนส์ ลีกฤดูกาลนี้

ลิเวอร์พูล ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกที่ต้องการไปแล้วก็จริง แต่ดูเหมือนจะยังเหลือภารกิจอีกนิดหน่อย

   
อันดับแรกคือกระทืบสถิติสะสมคะแนนมากที่สุด 100 แต้มที่ แมนฯ ซิตี้ ทำไว้เมื่อฤดูกาล 2018-19


ตอนนี้ "หงส์" สะสมไปแล้ว 89 แต้ม เหลืออีก 5 นัด มีอีก 15 แต้มให้เก็บ หากลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ สามารถยัดเยียดความปราชัยให้คู่แข่งอีก 4 นัด ก็จะมีคะแนนรวมทั้งหมด 101 แต้ม ทำลายสถิติเดิมได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม เข้าใจว่า ลิเวอร์พูล คงไม่ซีเรียสกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่ ประมาณว่าทำได้ก็ดี - ทำไม่ได้ก็ไม่เดือดร้อนอะไร เรียกว่าเป็นผลพลอยได้จากการเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกซะมากกว่า เพราะอย่างที่ รอย คีน เคยบอก เจมี่ คาร์ราเกอร์ นั่นแหละว่าในเหรียญรางวัลชนะเลิศ มันไม่ได้สลักคะแนนที่แชมป์ได้เอาไว้สักหน่อย

อีกหนึ่งสถิติที่เป็นผลพลอยได้คือการเอาชนะคู่แข่งในบ้านให้ครบทั้ง 19 นัด ฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล เอาชนะผู้มาเยือนที่ แอนฟิลด์ ไปแล้ว 17 นัดติดต่อกัน เหลืออีกแค่ 2 นัดเท่านั้นก็จะทำสำเร็จ ฤดูกาลที่แล้ว แมนฯ ซิตี้ ทำสถิติชนะในบ้าน 18 นัด และหลุดแพ้ไปแค่เกมเดียวเท่านั้น เกมเดียวที่พลาดทำ 3 แต้มหล่นหายใน เอติฮัด สเตเดี้ยม คือเกมที่ถูก คริสตัล พาเลซ บุกมาเชือด ด้วยสกอร์ 3-2 เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2018 ส่วนตอนที่ทำสถิติคว้าแชมป์โดยกักตุนได้ถึง 100 แต้ม เมื่อฤดูกาล 2017-18 พลพรรคเรือสำเภาเศรษฐีชนะในบ้าน 16 นัด เสมอ 2 นัด และแพ้ 1 นัด โดยเกมเดียวที่พลาดท่าพ่ายแพ้คือถูกเพื่อนบ้านอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด บุกมาอัดอย่างอุกอาจ สำหรับเจ้าของสถิติเล่นในบ้านดีที่สุดในพรีเมียร์ลีก คือ แมนฯ ยูไนเต็ด เมื่อฤดูกาล 2010-11 ซีซั่นนั้น แชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างพลพรรคปีศาจแดงทำสถิติชนะในบ้านได้ถึง 18 นัด หลุดเสมอไปเพียงแค่เกมเดียวเท่านั้นเอง  สถิติในบ้าน ณ จุดนี้ของ ลิเวอร์พูล คือชนะ 17 นัด เสมอ 0 เสมอ 0 ได้ 46 เสีย 12 หมายความว่าฤดูกาลนี้ the-robinson-group.com พวกเขาชนะในบ้าน 17 เกมติดต่อกัน ซึ่งจัดเป็นสถิติที่เหี้ยมโหดและอำมหิตดีนักแล หากนับรวมกับฤดูกาลที่แล้วด้วย เท่ากับว่าตอนนี้ "เครื่องจักรสีแดง" เอาชนะผู้มาเยือนในบ้านของตัวเองไปแล้วถึง 24 นัดติดต่อกัน

the-robinson-group.com

ทีมสุดท้ายที่กลับออกมาจาก แอนฟิลด์ พร้อมกับมีชีวิตรอดปลอดภัยออกไปคือ เลสเตอร์ ซิตี้ 


เหตุเกิดเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2019 โน่นนนนนนน - เกมนั้นจบลงด้วยการเสมอกัน 1-1 และนับแต่นั้น ลิเวอร์พูล ก็กะซวกคู่แข่งในพรีเมียร์ลีกที่บ้านของตัวเอง 24 นัดติดต่อกัน ส่วนอาการ "คาบ้าน" ครั้งล่าสุดในพรีเมียร์ลีกที่ แอนฟิลด์ บังเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2017 ทีมสุดท้ายที่บุกไปเหยียบจมูก ลิเวอร์พูล ในพรีเมียร์ลีก คือ คริสตัล พาเลซ

38 นัดติดต่อกันแล้วนะครับที่ลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่เคยแพ้ใครในพรีเมียร์ลีกแบบคาบ้าน อีก 2 นัดในบ้านที่เหลือในฤดูกาลนี้คือ เบิร์นลี่ย์ (11 กรกฏาคม 2020) กับ เชลซี (22 กรกฏาคม 2020) เกมที่ต้อนรับการมาเยือนของ เบิร์นลี่ย์ ไม่น่ามีปัญหาอะไรนะครับ เพียงแค่เล่นได้ตามมาตรฐาน ลิเวอร์พูล น่าจะยัดเยียดความปราชัยให้ผู้มาเยือนได้ไม่ยาก ก่อนทำสถิติเป็นชนะ 18 นัดในบ้าน เหลือเกมเดียวกับ เชลซี ในวันพุธที่ 22 กรกฎาคม หากไม่มีความผิดพลาดเกิดขึ้นเสียก่อน ขอบอกว่าการศึกครั้งนี้มีความสำคัญด้วยกัน 3 ประการ 1. มันเป็นเกมที่โทรฟี่พรีเมียร์ลีกจะเดินทางไปที่ แอนฟิลด์ เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 1995 (แถมครั้งนั้นมันเดินทางไปให้ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ได้สัมผัสและชื่นชม) 2. มันเป็นเกมที่ ลิเวอร์พูล มีสิทธิ์ทำสถิติเป็นทีมแรกและทีมเดียวในยุคพรีเมียร์ลีกที่ชนะในบ้านทั้ง 19 นัด 3. ถึงตอนนั้น เชลซี น่าจะยังคงบดบี้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด, เลสเตอร์ และวูล์ฟส์ เพื่อแย่งกันเป็น "ท็อปโฟร์" อย่างเมามัน พวกเขาจึงต้องการมีแต้มที่ แอนฟิลด์ สุดๆ คำถามคือแล้ว "เดอะ ค็อป" จะเล่นเต็มที่และใส่เต็มสูบมากขนาดไหน ในเมื่อชัยชนะของทีมตัวเองอาจหมายถึงการได้ไปเล่นใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ของคู่แค้นตลอดชาติอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด คิดดูนะครับว่าถ้าพลพรรคปีศาจแดงไม่ได้ไปเล่นในถ้วยใหญ่ยุโรปเป็นฤดูกาลที่ 2 ติดต่อกัน มันจะส่งผลเสียหายต่อพวกเขาอย่างหนักหนาสาหัสมากขนาดไหน ทั้งรายได้ที่จะหดหายไปอย่างมหาศาล รวมถึงแรงดึงดูดผู้เล่นระดับดาวดัง หากต้องการเป็นหนึ่งไปนานๆ พลางกดหัวคู่แค้นตลอดชาติของตัวเองให้ไม่ต้องไปผุดไปเกิด เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็แค่จัดตัวสำรอง + ดาวรุ่งลงไปยืดเส้นยืดสายในสนาม ต่อให้ไม่ชนะก็ไม่ถึงกับเสียหายอะไรมาก แค่อดทำสถิติต่างๆ อันเป็นผลพลอยได้จากการเป็นแชมป์เท่านั้นเอง ในเมื่อได้แชมป์ไปเรียบร้อยตั้งนานแล้ว ถ้าคิดแบบไทยๆ หรือคิดแบบ "คนไทย" ที่ตั้งใจทำอะไร ไม่แพ้ชาติใดในโลก ลิเวอร์พูล อาจยอมทิ้งสถิติอันสวยหรูของตัวเอง เพื่อกดหัวเจ้ากรรมและนายเวรของตัวเองให้อยู่ใต้ตีนไปนานๆ แต่ 'มืออาชีพ' คงไม่คิดแบบแฟนบอล 'มือสมัครเล่น' ในโลกโซเชี่ยลที่วันๆ นั่งเมนต์อะไรโง่ๆ ด่ากัน แล้วก็เอาชนะกันอยู่หน้าจอคอมฯ  แน่นอนครับ พวกเขามีความเป็นมืออาชีพ และอุดมด้วยสปีริตมากพอที่จะไม่ทำอะไรแบบนั้น แม้กาลครั้งหนึ่ง สตีเว่น เจอร์ราร์ด จะเคยบรรจงถวายพานให้ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา เอาลูกไปกระทุ้งทีมตัวเองจน แมนฯ ยูไนเต็ด ชวดแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างน่าเจ็บใจมาแล้ว ซึ่งนั่นมันน่าจะเป็นเรื่องบังเอิญซะมากกว่า ย้อนกลับไปในเกมสุดท้ายของฤดูกาล 1994-95 แค่ ลิเวอร์พูล ยอมอ่อนข้อให้ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ของ เคนนี่ ดัลกลิช อดีตดาวเตะระดับตำนานของตัวเอง คู่แค้นอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด ก็จะหมดสิทธิ์เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกแบบไม่ต้องลุ้น ทว่าพวกเขากลับแสดงความเป็นมืออาชีพพลางทุ่มเทแบบเต็ม 80,000 ตีนถีบจนยัดเยียดความปราชัยให้ทีมกุหลาบไฟได้สำเร็จโดยไม่สนใจเรื่องอื่นใด หงส์แดงเต็มที่แบบไม่มีกั๊กแล้ว ทว่าพลพรรคปีศาจแดงดันไม่มีปัญญาเอาชนะ เวสต์แฮม เอง จึงส่งผลให้ทีมของ "คิง เคนนี่" ยังได้เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกอยู่ดี

ผู้มีจิตศรัทธาในปีศาจแดงสบายใจได้ครับ เพราะ ลิเวอร์พูล ย่อมนึกถึงศักดิ์ศรีและสถิติของตัวเองเป็นสำคัญ โดยไม่แยแสหรอกว่ามันจะช่วยให้ทีมคู่แค้นแบบฆ่าล้างโคตรของตัวเองได้ลืมตาอ้าปากหรือเปล่า ผมมั่นใจแบบเต็มประดาว่า ลิเวอร์พูล จะพยายามทำสถิติชนะในบ้านทั้ง 19 นัด เพื่อฉลองโทรฟี่พรีเมียร์ลีกที่ แอนฟิลด์ อย่างได้อารมณ์และความรู้สึกอันยิ่งใหญ่ เพียงแต่จะทำได้หรือเปล่า นั่นอีกเรื่องหนึ่ง

นี่คือสิ่งที่อยากบอก!ชำแหละชัดเกมแมนยูบุกอัดวิลล่า


บรูโน่ โดดเด่น - กรีนวู้ด ซอยยิกไม่ยั้งหยุด - ป๊อกบา ซัดประตูแรกในฤดูกาลนี้ได้สำเร็จ - ปีศาจแดงร้องแรงถล่มคู่แข่ง 4 นัดติด ไล่บี้ทีมอันดับ 4 เหลือแค่แต้มเดียวแล้ว 

 
1. ไม่เพียงแต่จะเป็นทีมแรกในพรีเมียร์ลีกที่กะซวกชัย 4 เกมติดต่อกันด้วยระยะห่าง 3 ประตู แมนฯ ยูไนเต็ด ยังคงใช้ผู้เล่น 11 ตัวจริงชุดเดิมเป็นเกมที่ 4 ติดต่อกันอีกต่างหาก ตอนแรกเข้าใจว่าน่าจะเปลี่ยนสักตำแหน่ง 2 ตำแหน่ง เพื่อเติมความสดเข้ามา แต่ในเมื่อทั้ง 11 ตัวชุดเดิมโชว์ฟอร์มได้ไฉไล และกำลังมั่นใจ แถมไม่มีใครบาดเจ็บก็ไม่จำเป็นต้องคิดมาก เช่นเดียวกับไม่มีเหตุผลที่จะต้องเปลี่ยน

2. แอสตัน วิลล่า อยู่ในสภาพหลังกระแทกฝาต้องการแต้มอย่างยิ่ง เพื่อหนีตกชั้น แผนการเล่นของพวกเขาคือไม่ปล่อยให้ปีศาจแดงทำเกมรุกง่ายๆ ว่าแล้วบีบสูงถึงหน้าเขตโทษ โดยไม่ยอมให้เซ็ตบอลขึ้นมา ขณะแดนกลางพุ่งเข้าหาเร็วจนทีมเยือนทำเกมไม่ถนัด thepixelbeard.com ช่วง 15 นาทีแรก เจ้าถิ่นดูดีกว่าชัดเจน คือบุกพลางกดดันได้มากกว่า ผิดกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่เจอเพรสส์แล้วเล่นไม่ถนัด เกมรุกจึงติดๆ ขัดๆ โชคดีที่เกมรุกของทีมสิงห์ผยองมีคุณภาพบัดซบมากเลยรอดพ้นจากการเสียประตูไป

thepixelbeard.com

 

โชคดีที่เกมรุกของทีมสิงห์ผยองมีคุณภาพบัดซบมากเลยรอดพ้นจากการเสียประตูไป


3. จุดเปลี่ยนสำคัญอยู่ที่จุดโทษขณะที่เกมรุกดูตีบตัน แมนฯ ยูไนเต็ด ดันมาได้จุดโทษเฉยเลยจากจังหวะที่ บรูโน่ แฟร์นันด์ส พยายามเทิร์นบอลตรงริมเขตโทษแล้วโดนชนจากข้างหลังจนคว่ำ เรียนตามตรงว่าในฐานะเด็กผี ถ้าผู้ตัดสินไม่ให้จุดโทษ ผมก็คงไม่ว่าอะไร เพราะมันไม่ชัดเจนสักเท่าไหร่ ผู้ตัดสินพี่อ้วน จอน มอสส์ ปากไวเกินไปหน่อย

แต่บางคนก็คิดว่ามันควรเป็นจุดโทษจริงๆ อันนี้ก็ว่ากันไป ถ้าคุณเป็นแฟนบอลตัวจริง คุณจะเข้าใจและแสดงความเห็นแบบมีเหตมีผล แต่ถ้าคุณเป็นแฟนบอลประเภทที่คลอดออกมาทางรูตูดมารดา คุณก็จะโวยวายว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ขี้โกง 4. บรูโน่ ยังคงแพรวพราวและพลิกแพลงเกมช่วยให้เกมรุกทั้งหวือหวา และหลากหลาย ไอ้เขียวก็ตะบันประตูได้คมกริบดีนักแล แม้แต่ เนมานย่า มาติช ที่ดูเหมือนจะอืดๆ ในตอนต้นก็ค่อยๆ ยกระดับฟอร์มการเล่นของตัวเองขึ้นมา แรชฟอร์ด ก็ดูเยือกเย็นขึ้นจนน่าจะทำลายตาข่ายได้ ว่าแล้วก็ชอบประตูที่ ปอล ป๊อกบา ยิงได้มากที่สุด เพราะมาจากลูกเตะมุมที่ 'บรูโน่' เปิดเรียดย้อนมาตรงหน้าเขตโทษ ทั้งที่ก่อนดาวเตะขนมฝอยทองผู้นี้จะเลื้อยตูดมา แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ค่อยได้ประตูจากลูกเตะมุมเลย

สรุปว่าเล่นได้มาตรฐานด้วยกันทั้งทีม ผลงานมันก็จะออกมาดีเช่นนี้แล 5. อีกจุดที่สังเกตคือในชัยชนะ 4 เกมล่าสุดในพรีเมียร์ลีก เจสซี่ ลินการ์ด ไม่มีชื่อแม้แต่บนม้านั่งสำรอง (9 คน) ความจริงก็สงสาร และไม่อยากซ้ำเติมอะไรนะนะ แต่มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ คือพอไม่มีแล้วเล่นดีชิบ

แม้จะยังคงอยู่ในอันดับที่ 5 ของตาราง 


แต่ตอนนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นผู้กำหนดชะตากรรมของตัวเอง โดยไม่ต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจ คือหากชนะในอีก 4 นัดที่เหลือได้สำเร็จ พวกเขาติด 1 ใน 4 อันดับแรกของตารางอย่างแน่นอน เพราะเกมสุดท้ายมีอันต้องตัดกันเองกับจิ้งจอกสยามนี่แหละ ถามว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะถีบตูดตัวเองไปติดอันดับ "ท็อปโฟร์" ได้สำเร็จหรือไม่ ???

ถ้าถามคำถามนี้ เมื่อตอนพรีเมียร์ลีกกำลังจะ "รี-สตาร์ท" กลับเป็นนัดแรก หลังจากเว้นวรรคหนีโรคระบาดไปนานกว่า 3 เดือน ผมตอบว่า 50-50 เหตุเพราะตอนนั้น พลพรรคปีศาจแดงตามหลัง เชลซี อยู่ 3 แต้ม แถมตามหลัง เลสเตอร์ อยู่ถึง 8 แต้ม แม้โปรแกรมที่เหลือของ แมนฯ ยูไนเต็ด จะเบากว่าก็ตาม เมื่อกลับมาเซิ้งแข้งกันใหม่อีกครั้งในเกมที่ 30 ของฤดูกาล แมนฯ ยูไนเต็ด ทำได้แค่เสมอ สเปอร์ส 1-1 เลสเตอร์ ทำได้แค่เสมอ วัตฟอร์ด 1-1 เชลซี บุกไปเชือด แอสตัน วิลล่า 2-1สถานการณ์ขณะนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ตามหลังทีมจิ้งจอกสยาม 8 แต้มเท่าเดิม แต่ถูกทีมสิงห์น้ำเงินทิ้งห่างเป็น 5 แต้ม โดยเหลืออีก 8 นัด อาการของ เลสเตอร์ ซิตี้ ไม่ดีขึ้น 2 นัดต่อมา พวกเขาเก็บเพิ่มได้เพียงแค่แต้มเดียวเท่านั้น ขณะที่ เชลซี ก็มีสะดุด คือหลังยัดเยียดความปราชัยให้ แมนฯ ซิตี้ ส่งมอบตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกให้ลิเวอร์พูล พวกเขาพลาดท่าพ่าย เวสต์แฮม ซะอย่างนั้น ส่วน แมนฯ ยูไนเต็ด กะซวกชัยได้ 2 นัดติดต่อกัน ว่าแล้วก็ไล่บี้ เชลซี เหลือแค่ 2 แต้ม มิหนำยังตามหลัง เลสเตอร์ อยู่เพียง 3 แต้ม ณ จุดนั้น กุนซือปีศาจแดงอย่าง โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ให้สัมภาษณ์ว่าเขาไม่ได้หวังอันดับ 4 แต่หวังสูงถึงอันดับ 3 ของตารางเลยทีเดียว หลังจากเกมที่ 33 ของฤดูกาลผ่านไป โดยทั้ง เลสเตอร์, เชลซี และแมนฯ ยูไนเต็ด ได้รับชัยชนะเหมือนกันทั้ง 3 ทีม สถานการณ์จึงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง กระทั่งคืนวันอังคารที่ผ่านมา เชลซี บุกไปอัด คริสตัล พาเลซ ทำคะแนนทิ้งห่างไปเป็น 5 แต้ม แต่การไปเยือน เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ทำให้ "เดอะ ฟ็อกซ์" ต้องสะดุดอีกครั้ง เมื่อพลพรรคปีศาจแดงบุกขย่ม วิลล่า พาร์ค เมื่อคืนวันพฤหัสฯ ส่งผลให้พวกเขาตามหลัง เลสเตอร์ แค่แต้มเดียว และตาม เชลซี เพียง 2 แต้ม เท่านั้นไม่พอยังไม่ต้องพะวงหลังอีกต่างหาก เหตุพราะทีมที่ไล่หลังมาในอันดับ 6 อย่าง วูล์ฟส์ ดันพลาดท่าพ่ายแพ้ 2 นัดติดจนโดนทิ้งห่างถึง 6 แต้ม ว่าแล้วก็ต้องขออนุญาตดีใจพลางกระดี๊กระด๊าเป็นกรณีพิเศษหน่อยนะครับ หลังจากอึดอัดมาตลอดตั้งแต่ต้นฤดูกาล thepalmshoppingmall.com เหลือ 4 เกมสุดท้าย พิจารณาจากโปรแกรมที่เหลือของ เลสเตอร์ ถือว่าฮาร์ดคอร์สุด เพราะหลังจากไปเยือน อาร์เซน่อล แล้วยังต้องออกไปเยือน บอร์นมัธ ที่กำลังกระเสือกกระจนอย่างจงหนัก ก่อนกลับมารับมือ เชฟฯ ยูไนเต็ด ในบ้านตัวเอง แล้วค่อยออกไปเยือน สเปอร์ส ในเกมรองสุดท้ายของฤดูกาล ส่วนนัดสุดท้ายของฤดูกาลก็ต้องมาตัดกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม ทีนี้มาดูฝั่งของทีมสิงห์บลูส์กันบ้าง พวกเขาจะออกไปเยือน เชฟฯ ยูไนเต็ด ตามมาด้วยการปิดบ้านชำเรานกขมิ้นเหลืองอ่อนผู้น่าสงสาร 2 เกมนี้มีความเป็นไปได้พอสมควรที่ เชลซี จะกักตุน 6 แต้มเต็มๆ เข้ากระเป๋า ก่อนเกมที่ 37 ของฤดูกาลต้องยกพลไปเยือน แอนฟิลด์ ในวันที่ ลิเวอร์พูล มีพิธีรับโทรฟี่แชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี - โอกาสสะดุดมีสูง นัดสุดท้ายของฤดูกาล เชลซี จะเปิดบ้านรับมือ วูล์ฟส์ ที่ถึงตอนนั้นอาจจะหลุดวงโคจรไปแล้วก็เป็นได้

thepalmshoppingmall.com

สำหรับ 4 นัดสุดท้ายของ แมนฯ ยูไนเต็ด


คืนวันจันทร์นี้เปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ เซาธ์แฮมป์ตัน ต่อด้วยการไปเยือน คริสตัล พาเลซ ก่อนฉะกับ เวสต์แฮม ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด โดยเกมสุดท้ายของฤดูกาลต้องบุกไปเยือน เลสเตอร์ ซิตี้ อย่างที่ทราบกันดีนั่นแหละ หาก แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าชัยชนะในทุกนัดที่เหลือ พวกเขาน่าจะติด 1 ใน 4 อันดับแรกของตารางแน่นอน นอกจากนี้ ถ้าลูกทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา พุ่งเข้าชนและวิ่งเข้าใส่ชัยชนะในอีก 3 นัดถัดไป มันมีความเป็นไปได้สูงมากที่ ก่อนถึงนัดสุดท้ายของฤดูกาล พวกเขาจะกระโดดขึ้นไปอยู่บนอันดับ 3 ของตาราง ด้วยข้อได้เปรียบตรงผลต่างประตูได้เสียที่ดีกว่า เชลซี

อย่างไรก็ตาม หากพลพรรคจิ้งจองสยามเร่งเครื่องกลับมากะซวกชัยชนะติดต่อกันได้อีกครั้ง มันก็มีโอกาสสูงมากที่ เลสเตอร์ กับ แมนฯ ยูไนเต็ด จะต้องมาตัดสินชะตากันในเกมสุดท้ายของฤดูกาล ซึ่งแทบไม่ต่างจากนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยที่มีตั๋วเดินทางไป ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นเดิมพัน ตอนนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด กำลังอยู่ในความมั่นใจแบบเต็มประดา หลังมีชัยในพรีเมียร์ลีก 4 เกมติดต่อกัน โดยเอาชนะคู่แข่งด้วยระยะห่าง 3 ประตู ทั้ง 4 นัด โดยกระหน่ำไป 14 ประตู เล่นมาตั้งนาน โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เพิ่งมาค้นพบทีมที่เหมาะสมและลงตัวที่สุด แล้วบรรจงใช้ผู้เล่น 11 ตัวจริงชุดเดิมอย่างต่อเนื่องมา 4 เกมติดต่อกัน บรูโน่ แฟร์นันด์ส ระเบิดฟอร์มสยดสยอง อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ก็สามารถทำลายตาข่ายได้อย่างต่อเนื่อง เนมานย่า มาติช กลับมาเป็นคนเดิมอีกครั้งพลางยึดตำแหน่งตัวจริงได้อย่างถาวร ปอล ป็อกบา ก็เริงระบำบนฟลอร์หญ้าอย่างมีความสุขและเสียวซ่าน มิหนำยังมีอาวุธทำลายล้างคนใหม่ที่โผล่ขึ้นมาได้ถูกที่ถูกเวลาเหลือเกินอย่าง เมสัน กรีนวู๊ด เกมรุกของปีศาจแดงและนาทีนี้จึงทรงอานุภาพยิ่งนัก แถมผู้ตัดสินกับ VAR ยังเป็นใจชอบแจก 'จุดโทษ' ให้ด้วย ว่าแล้วขอวอนผู้ตัดสินว่ากรุณาอย่าแจกจุดโทษให้ แมนฯ ยูไนเต็ด มากนักเลยครับ ต่อให้มันจะแจ้งก็แกล้งๆ เอาหูไปนา เอาตาไปไร่บ้างก็ได้ เพราะแจกจุดโทษทีไร พวกพี่ๆ เขาก็ลงไปชักดิ้นชักงอจะเป็นจะตายกันเสียให้ได้ ขอบอกว่าน่ากลัวมาก ทีมตัวเองได้ประโยชน์ทำเป็นยักไหล่ ใครแย้งก็ไม่ได้ เพราะโดนทัวร์ลงแน่ พอทีมอื่นได้ประโยชน์บ้างเท่านั้นแหละ ต่อมรักความยุติธรรมมันจะแตกโบ๊ะขึ้นมาทันที คำถามคือกุนซือเบบี้เฟซจะตะบี้ตะบันใช้ผู้เล่นชุดเดิมไปได้ตลอดหรือไม่ ??? ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าจะใช้ต่อเนื่องไปอีกกี่นัด เพราะอะไรที่ใช้อย่างต่อเนื่องไปนานๆ มันก็ย่อมสึกหลอเป็นธรรมดา แต่ถ้าไม่บาดเจ็บหรือไม่อ่อนล้า โดยทุกคนโชว์ฟอร์มได้ตามมาตรฐาน มันก็ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไรอยู่แล้ว กุญแจสำคัญอยู่ที่ "บรูโน่" นี่แหละครับ เพราะเขาสถาปนาตัวเองเป็นผู้เล่นที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ขาดไปไม่ได้ซะแล้ว หากเกมไหนไม่ได้ลงสนาม ขอบอกเลยว่ามีปัญหาแน่ ดังฉะนั้นต้องประคบประหงมประดุจไข่ในหิน ในส่วนของเกมรับ นับตั้งแต่พรีเมียร์ลีก "รี-สตาร์ท" กลับมา 5 นัด แมนฯ ยูไนเต็ด เสียประตูในพรีเมียร์ลีกไปแค่ 3 ลูกเท่านั้น เฉลี่ยต่อ 1 นัด เสียไม่ถึง 1 ประตู ดูเผินๆ เหมือนจะเหนียวแน่นและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เพียงแต่หากเจาะลึกลงไปในรายละเอียด คุณจะพบว่าทั้ง 3 ประตูที่เสียให้คู่แข่งเกิดจากความผิดพลาดของตัวเองทั้งสิ้น ประตูที่เสียให้คลับไก่ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ปล่อยให้คู่แข่งกระชากหนีตัวเองเข้าไปตะบันอย่างง่ายดาย ขณะที่นายทวารอย่าง ดาบิด เด เคอา ก็ถูกตราหน้าจากนักวิจารณ์ปากไฟจิ๋มนรกบางคนว่าต้องรับผิดชอบด้วยการโบกแท็กซี่กลับแมนเชสเตอร์เอง 2 ประตูที่โดนทีมท้ายตารางอย่าง บอร์นมัธ แย่งไปก็เช่นกัน ประตูแรก ปราการหลังค่าตัว 85 ล้านปอนด์เข้าบอลทะเล่อทะล่าจนถูกคู่แข่งแตะบอลรอดหว่างขา ขณะที่ ดาบิด เด เคอา ก็ปิดมุมเสาแรกไม่มิดซะอย่างนั้น ประตูที่ 2 เนมานย่า มาติช เบิ้ลคืนหลังไม่ค่อยดี บอลลอยโด่งจนเพื่อนเล่นยาก เอริก ไบยี่ พยายามพักอกแต่ดันยกต้นแขนขึ้นมาช่วยประคอง ผลคือผู้ตัดสินเป่าเป็นจุดโทษ ทั้งที่ดูยังไงก็ไม่ได้แฮนด์บอล เจตนาคือพักอกชัดเจน แถมบอลยังไม่เข้าเขตโทษอีกตะหาก

ตรงกันข้าม ถ้าได้จุดโทษในลักษณะนี้บ้าง มันจะแด๊นซ์ฟีเวอร์กันจนฝุ่นตลบเลยทีเดียวทั้ง 3 ประตูมาจากความผิดพลาดส่วนบุคคลล้วนๆ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่แก้ไม่หายนะครับ ยังดีที่เกมรุกอันทรงประสิทธิ์ภาพ บวกจุดโทษปริศนาสามารถทดแทนความผิดพลาดในเกมรับของตนเองเอาไว้ได้อย่างมิดชิด ว่าแล้วก็น่าเสียดายที่พรีเมียร์ลีกเหลือแค่ 4 เกมเอง

มองโลกแง่ดี!ชำแหละชัดแมนยูชวดชัยอดขึ้นที่3


หลังจากกะซวกชัยในพรีเมียร์ลีกมา 4 นัดติดต่อกัน 


'ปีศาจแดง' ก็ทำได้แค่เสมอ 'นักบุญ' ในบ้านตัวเองพลางเอาโอกาสขึ้นไปอยู่บนอันดับ 3 ของตารางไปทิ้งลงถังขยะอย่างน่าเสียดาย 1. นี่คือเกมที่ 5 ติดต่อกันที่ 'น้าลูกอม' ไม่ยอมโรเตชั่น ทั้งที่มีเกมต่อไปในวันพฤหัสฯ ต่อด้วย เอฟเอ คัพ ในวันอาทิตย์ เข้าใจว่าคงมองแบบนัดต่อนัด ในเมื่อนักเตะตัวจริงมีฟอร์มการเล่นที่ดีอย่างต่อเนื่องก็ไม่จำเป็นต้องไปมองข้ามชอต

แต่สิ่งที่เห็นได้อย่างคมชัดในเกมนี้คือนักเตะออกอาการขาลากในช่วงท้ายเกม 2. เซาธ์แฮมป์ตัน วางแผนมาบีบแดนบนพลางบดบี้เข้าหาอย่างรวดเร็วทุกจังหวะเหมือนรู้ว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ชอบคู่แข่งที่เล่นแบบนี้ เวลาโดนบี้มักเอาตัวไม่ค่อยรอด ช่วง 15 นาทีแรกเกมจึงตกเป็นของทีมเยือนที่บุกได้มากกว่า ก่อนชิงจังหวะขึ้นนำได้สำเร็จ ขณะที่เจ้าของสนามได้แต่บังแล้วโต้เพียงเท่านั้น ประตูแรกที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เสีย เหมือนเป็นความผิดพลาดของ ปอล ป๊อกบา แต่จริงๆ ดาบิด เด เคอา ก็ควรอ่านเกมให้ขาด แล้วไม่จ่ายบอลยัดไปตรงหน้ากรอบเขตโทษตัวเองแบบนั้น3. แมนฯ ยูไนเต็ด ออกอาการปั่นป่วน แต่ใช้เวลาไม่นานแก้ไขการรุมกดดันของผู้มาเยือนได้สำเร็จด้วยการเปิดบอลยาวหนีให้แนวรุกที่มีความจัดจ้านและปราดเปรียวเข้าจู่โจมเป็นระยะจนพลิกกลับมานำเป็น 2-1 ด้วยรูปเกมที่เหนือกว่า ดูแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไร โอกาสได้ประตูที่ 3 มีมากกว่าถูกตีเสมอเป็น 2-2 ด้วยซ้ำ

thehotspotonline.com

ปีศาจแดง' ก็ทำได้แค่เสมอ 'นักบุญ'


4. กระทั่งอีน้าแกถอด 'คุณป๊อก' ออกไปนั่นแหละ ทีมเยือนอย่าง เซาธ์แฮมป์ตัน จึงเริ่มครองบอลบุกได้มากขึ้น เท่านั้นไม่พอยังเปลี่ยนตัวทำเกมรุกอย่าง 'บรูโน่' ออกไปอีกจนคู่แข่งเป็นฝ่ายบุกอยู่ข้างเดียว มิซ้ำช่วงท้ายเกมยังต้องเล่นแค่ 10 คน 

หลังจาก เบรนดอน วิลเลี่ยมส์ เจ็บหนักเบ่นต่อไม่ไหว โดยส่งใครลงมาแทนไม่ได้ เพราะใช้โควต้าเปลี่ยนตัวครบ 3 ครั้งแล้ว ในที่สุดก็ถูกตีเสมอจนได้ มุมมองต่อประเด็นนี้แตกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งบอกว่าไม่น่าส่งพวกตัวรับลงมามากเกินไป เพราะทำแบบนี้ทีไร ชิบหายทุกที ฝ่ายหนึ่งก็บอกว่าไอ้ที่ต้องเปลี่ยนแบบนั้น เพราะนักเตะเริ่มอ่อนล้าและหมดแรง แถมยังมีอีกเกมรออยู่อีกไม่กี่วันข้างหน้า ผมมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในสนาม thehotspotonline.com และผลการแข่งขันที่ออกมานั่นแหละสะท้อนว่าผู้จัดการทีมตัดสินใจถูกหริอผิด โอเล่ กุนนาร์ โซลชา จึงพลาดครับที่เปลี่ยนตัวเพื่อรักษาสกอร์แบบนั้น เพราะการส่งตัวรับลงมามากเกินไป มันย่อมทำให้ทีมต้องตั้งรับอยู่ข้างเดียวเลย

5. อีกจุดที่ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ชนะ เพราะไม่เด็ดขาดเอาในเกมนี้ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ควรยิงให้ทีมขึ้นนำก่อน แถมเขาน่าจะยิงได้อีกอย่างน้อยๆ 1 ประตู แต่พลาดแบบไม่น่าพลาด ขณะที่ตัวจบสกอร์คมๆ อย่าง เมสัน กรีนวู๊ด ดันไม่ได้สับไกยิงสักจังหวะ ว่าแล้วมองโลกในแง่ดีว่าในขณะที่ เชลซี กับ เลสเตอร์ แพ้ด้วยกันทั้งคู่ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้เพิ่มอีก 1 แต้มแล้วกัน

ปีนี้เผาหลอก ปีหน้าเผาจริง สโมสร...ตาย

 ส.บอลฯ โดยคนวงการรอคำตอบ


สืบเนื่องจากการที่ ส.บอลฯ ยืนยันแน่ชัดแล้วว่าการแข่งขันฟุตบอลลีกอาชีพในส่วนของไทยลีก1 และ ไทยลีก2 ฤดูกาล 2020-21 นัดที่ 5 จะไปเริ่มในวันที่ 12 ก.ย.63 เตะแบบคร่อมปี ไปจบที่เดือน พ.ค.64 ส่วนฤดูกาล2021-22 จะไปเริ่มในเดือน ก.ย.64 ไปจบ พ.ค.65

ส่วนฟุตบอลลีกรากหญ้าในระดับไทยลีก3ของฤดูกาลนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะจัดเมื่อไหร่ ไปจบเมื่อไหร่ ซึ่งยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนจาก ส.บอลฯ โดยคนวงการต่างก็รอคำตอบกันอยู่กับเฉพาะคำตอบเกี่ยวกับเม็ดเงินสนับสนุนค่าสิทธิประโยชน์ของแต่ละทีมจะได้เท่าไหร่ อย่างไร ทั้งนี้ทีมงานฟุตบอลสยามรายวันได้รับการบอกเล่าจากคนวงการที่ทำทีมอยู่ในปัจจุบันนี้ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ในฤดูกาล2020 ที่ต้องหยุดเว้นจากวิกฤต โควิด-19 แบบที่ทุกสโมสรไม่ทันตั้งตัว โดยที่ต้องหยุดแข่งขันไปกว่า 6 เดือนครึ่ง นับตั้งแต่ มี.ค.-11 ก.ย.63 ทำให้สโมสรทุกระดับต้องเจอปัญหาทันทีกับที่ "สปอนเซอร์ผู้สนับสนุน" ขออนุญาตไม่จ่ายเงินสนับสนุน เพราะไม่เป็นไปตามข้อตกลงที่ลงนามกันไว้ ซึ่งจุดนี้แต่ละสโมสรเข้าใจดี และจำเป็นต้องเผชิญต่อไป

thegreekplace.net

คนวงการลูกหนังต่างยอมรับ


ว่า ฤดูกาล2020 ที่เปลี่ยนไปเตะแบบคล่อมปี กลายเป็น ซีซั่น 2020-21 นั้นยังพอดิ้นไปอยู่ กับช่วง 6 เดือนแรกที่ใช้เงินของสปอนเซอร์ผู้สนับสนุนที่มักใช้วิธีแบ่งจ่ายเป็นรายงวด แต่หากเข้าสู่ 6 เดือนหลัง จุดนี้ต้องหาเงินกันเอง บางทีมมีสปอนเซอร์เยอะ สายป่านยาว ก็พอไปได้ แต่ทีมไหนสปอนเซอร์เยอะด้วยแล้ว แต่ทุกตัวไม่ขอจ่ายเงินเพราะสภาพเศรษฐกิจ รวมถึงสถานการณ์ โควิด-19 ยิ่งไปกันใหญ่

ว่ากันว่าสถานการณ์ปีนี้ อาจเป็นแค่การ "เผาหลอก" ... จะหนักอยู่ในฤดูกาลหน้า ซีซั่น 2021-22 ที่จะไปเริ่มสตาร์ทในเดือน ก.ย.64 แน่นอนว่าแต่ละทีมจะต้องวางแผนการติดต่อขอรับเงินจากเหล่าบรรดาสปอนเซอร์ทั้งหลายที่อยากให้เข้ามาสนับสนุนทีมตนเอง ซึ่งต้องติดต่อ-ยื่นเรื่อง-เสนอแผนงานของบฯ-แพ็กเกจต่างๆ ไว้ตั้งแต่ช่วง ม.ค.64 เพื่อนำไปใช้แบบคร่อมปี ตั้งแต่ ก.ย.64 - พ.ค.65 แต่หากวัดจากสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้น ปฎิเสธไม่ได้ว่า "โควิด-19" เข้ามาทำลายทุกอย่างจนล้มไม่เป็นท่า สาเหตุที่บรรดาสปอนเซอร์ทั้งหลาย แบรนด์ต่างๆ ตัดสินใจถอยหลังให้กับการสนับสนันฟุตบอลลีกอาชีพไทยตามข่าวที่เกิดขึ้นเพราะไม่สามารถทำกำไรในช่วงวิกฤตโควิดที่เกิดขึ้น thegreekplace.net และกว่าจะตั้งตัวขยับให้ธุรกิจกลับมาเป็นเหมือนเดิม คงยังต้องใช้เวลาอีกนาน ไม่ใช่แค่ปี-สองปีที่จะถึงนี้แน่นอน

ดังนั้น ช่วง ม.ค.64 เราอาจจะได้ยินข่าวเรื่องสปอนเซอร์ต่างๆตัดสินใจไม่อุ้มทีมฟุตบอลลีกไทยต่อ เมื่อเป็นเช่นนั้น ผลกระทบที่ตามมาอาจจะลามไปถึงการจัดการทีม นักเตะค่าตัวแพงๆอาจต้องหั่นออก เน้นใช้นักเตะที่เหมาะสมกับงบประมาณ ไม่ฟุ่มเฟือย และอาจจะเป็นปีที่ยากลำบากของแต่ละสโมสรในการประคองทีมให้อยู่รอดในลีกอาชีพก็เป็นได้

วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

นรกเสนายัน กลัวที่ไหน แต่สุดท้ายเตรียมแผนหนีตาย


ย้อนอดีตเมื่อวันวานครั้งที่ทีมชาติไทยต้องไปป้องกันแชมป์ฟุตบอลซีเกมส์ ครั้งที่ 19 ที่ประเทศอินโดนีเซีย

ซึ่งในครั้งนั้นเหมือนมีคนเขียนบทให้ “เจ้าภาพ”อินโดนีเซีย ต้องเจอกับ “แชมป์เก่า”อย่างประเทศไทย ในช่วงเวลานั้นยังใช้ทีมชาติชุดใหญ่โดยไม่จำกัดอายุ หนึ่งในนักเตะดาวรุ่งที่โผล่มาติดทีมชาติในฐานะดาวยิงของทีมเล็กอย่าง ราชนาวี “เจ้าจ็อบ”ชายชาญ เขียวเสน ซึ่งเพิ่งผ่านการติดทีมชาติครั้งแรกในการเล่นแมตช์พิเศษเจอกับทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาแบบเซอร์ไพร๊ซ์

ก่อนจะมาติดชุดซีเกมส์ ปี 2540 ที่อินโดนีเซีย ได้เล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ในครั้งนั้นที่เขาเรียกกันว่า นรกในเสนายัน ซึ่งเป็นสังเวียนฟาดแข้งจุแฟนบอลได้เรือนแสนคน “ผมไปซีเกมส์ที่อินโดฯ มีโอกาสลงตัวจริงแค่นัดเดียวก่อนหน้านั้น แต่พอนัดชิงชนะเลิศได้รับโอกาสได้ลงเป็นกองหน้าตัวจริงคู่กับ “ซิโก้”เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เจอกับ”เจ้าภาพ”อินโดนีเซีย ท่ามกลางแฟนบอลเป็นแสน ๆ คน ถามว่าผมกลัวไหม ผมไม่กลัวนะ เพราะตอนนั้นผมผ่านการฝึกทหารเรือมา เรื่องสภาพจิตใจมันควบคุมได้ มีแต่ความกระหายอยากจะลงเล่น ถึงแม้บรรยากาศมันจะน่ากลัวมาก ๆ ก็ตามที มีเผากระดาษ เผาโน่นเผานี่ตั้งแต่ก่อนเกมแล้ว”

marquismgmt.com

เกมในนัดชิงชนะเลิศ “เจ้าจ็อบ”ทำภารกิจได้อย่างยอดเยี่ยม 


โดยยิงประตูดับเสียงเชียร์ให้ไทยนำไปก่อน สมกับที่บอกว่าไม่รู้สึกกลัวกองเชียร์ “ลูกนั้น “พี่โอ่ง”เปิดมาจากด้านซ้าย “พี่โย่ง”วรวุธ โหม่งชงมาแบบน้ำหนักพอดี ผมเลยตวัดด้วยซ้ายแบบบังคับให้เล่นมุมเข้าไป พอยิงเข้าผมก็รีบไปนั่งตรงมุมธง เพื่อรอให้พี่ ๆ เพื่อน ๆ ในทีมเข้ามาร่วมฉลอง ไม่ได้คิดว่าจะเป็นการยั่วยุกองเชียร์เลยแม้แต่น้อย”

แต่ฉับพลันทันใด เหมือนดาวตกอุกาบาต กระทบพื้นที่สนามเสนายัน ก้อนหินนับสิบถูกขว้างลงมาตรงที่ “เจ้าจ็อบ”นั่งรอเพื่อน ๆ พี่ ๆ มาฉลองประตูกันเป็นห่าใหญ่ ทำเอาพวกพี่ ๆ ต้องรีบมาดึงเจ้าตัวออกจากจุดกระสุน(หิน)ตก “ตอนแรกนึกว่าหินก้อนเล็ก มันเฉี่ยวหัวเฉี่ยวขาผมไปหมด พอก้มลงมอง โห ก้อนเท่าลูกมะนาว โดนไปก็แตกเหมือนกัน โชคดีที่ไม่โดน รอดมาได้ เกมนั้นเล่นไปก็ระวังก้อนหินไปมีปามาตลอด นักเตะอินโดฯก็เล่นหนักตามเสียงเชียร์ ผมโดนเข่าใส่น่องจนเจ็บ พักครึ่งอาการเริ่มหนักเล่นต่อไม่ไหว เขาเลยเอา “อัลเฟรด”เนติพงษ์ ศรีทองอินทร์ลงไปแทน” จบเกมนั้นเสมอกันจนต้องมีการดวลจุดโทษตัดสิน ไทยชนะไป 4-2 เป็นฝ่ายคว้าแชมป์ไปครอง marquismgmt.com ทำให้เกิดการเผาสนามเสนายัน “ถามว่ากลัวไหม ก็ไม่นะครับ เพราะเราแค่ไปรออยู่ในห้องแต่งตัว แต่ข้างนอกก็มีทั้งเผาสนาม เผารถนอกสนาม โกลาหลกันใหญ่  เรารออยู่ประมาณ 2-3 ช.ม.

ตอนนั้นในห้องแต่งตัวฝ่ายจัด ให้เราเปลี่ยนชุดเพื่อพรางตัว แบบใส่เสื้อเชิ๊ตลำลองทีมชาติไทย เอาเทปกาวแปะทับธงชาติไทยไม่ให้เห็น กางเกงบางคนมีขายาว บางคนขาสั้น เผื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเอาไม่อยู่และกองเชียร์บุกเข้ามา แต่โชคดีในที่สุดก็สงบ ได้กลับที่พักโดยสวัสดิภาพ ก่อนกกลับไทยพร้อมกับเหรียญทอง ซึ่งเป็นอีกแมตช์ที่ผมประทับใจไม่ลืมในชีวิตการเป็นนักฟุตบอล”

'บิ๊กแชมป์'แจงสัญญาลิขสิทธิ์ระหว่างสมาคมกับทรูวิชั่นส์ควรหมดไปตามฤดูกาลแข่งขัน


'บิ๊กแชมป์' กรวีร์ ปริศนานันทกุล รองประธานบริษัท ไทยลีก จำกัด แจงสัญญาลิขสิทธิ์ระหว่างสมาคมกับทรูวิชั่นส์ควรจะหมดไปตามฤดูกาลแข่งขัน


เนื่องจากเหตุสุดวิสัย หวังทรูไม่ใช้ประเด็นนี้มาเป็นเหตุที่จะพิจารณาปรับลดเงินค่าลิขสิทธิ์เพราะจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อสโมสรฟุตบอลทุกระดับ และวงการฟุตบอลไทย เชื่อแฟนบอลที่เป็นลูกค้าของทรูวิชั่นอยากจะชมฟุตบอลไทยครบทุกนัดจนจบฤดูกาลแข่งขัน
 
"บิ๊กแชมป์" กรวีร์ ปริศนานันทกุล รองประธานบริษัท ไทยลีก จำกัด ได้ออกมาเปิดเผยกับสื่อในเรื่องของข้อถกเถียงในเรื่องสัญญาลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดไทยลีก ระหว่าง สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย และ ทรูวิชั่นส์ นั้นมาจากการตีความข้อสัญญาไม่ตรงกัน ซึ่งทรูมองว่าสัญญาจะหมดลงเมื่อจบปี 2563 แต่ในความจริงสัญญาควรจะต่อเนื่องไปจนฤดูกาลแข่งขันจบสิ้น  โดยทรูวิชั่นส์ ยืนยันที่จะถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลไทยลีกจนถึง 25 ต.ค.63 ซึ่งเป็นวันปิดฤดูกาลเดิมก่อนเกิดเหตุการณ์แพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 และพร้อมเจรจาฉบับใหม่เพิ่มเติมจนถึงวันที่ 31 ธ.ค.63 ส่วนกำหนดการแข่งขันใหม่หลังการประชุมสโมสรจะเริ่มแข่งขัน  12 ก.ย.63 ปิดฤดูกาล 15 พ.ค.64 "ซึ่งโปรแกรมดังกล่าวเกิดขึ้นจากสโมสรมีมติร่วมกัน เมื่อ 14 เม.ย.63 จากนั้นสมาคมมีหนังสือแจ้งไปยังทรู ถ้าหากไม่เห็นด้วยและต้องการคัดค้านให้แจ้งภายใน 15 วัน ทรูแจ้งว่าได้รับหนังสือแล้ว แต่ก็ไม่ได้มีการตอบกลับมา"

markwayhomes.com

รองประธานบริษัท ไทยลีก กล่าว   


"ต่อมาทรูมีความเห็นต่างจากสมาคม เรื่องสัญญาลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด ที่ระบุไว้ระหว่างปีการแข่งขัน 2560-2563 ซึ่งในความหมายควรจะเป็นฤดูกาลแข่ง และเมื่อมีเหตุสุดวิสัยทำให้ไม่สามารถจัดการแข่งขันได้จนถูกเลื่อนออกไปอย่างเช่นในครั้งนี้ที่เกิดการระบาดของโควิด-19 สัญญาลิขสิทธิ์เองก็ควรเลื่อนไปจบตามฤดูกาล"

"สำหรับเหตุสุดวิสัยที่เกิดขึ้นโดยไม่อาจต้านทานได้ ไม่อาจคาดหมายได้ หรือเกิดจากเหตุภายนอก เช่น ภัยธรรมชาติ โรคระบาด เหตุจลาจล กฎหมายหรือคำสั่งของรัฐ ตามกฎหมายสากลถือว่าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้" "การที่ฟุตบอลแข่งขันไม่ได้ในช่วงที่ผ่านมาไม่ใช่เพราะสมาคมฯ ไม่พร้อมจัดการแข่งขัน แต่เนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 นำมาสู่ พรก.ฉุกเฉิน ซึ่งสมาคมจำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ใช่ประเด็นของการจงใจหรือมีเจตนาที่จะไม่ปฏิบัติตามสัญญา หวังว่าทางทรูจะเข้าใจเหตุผลความจำเป็นดังกล่าว” "ตามบทสัมภาษณ์ของทรูที่บอกว่าสมาคมไม่เคยแจ้งเรื่องกำหนดการต่างๆ markwayhomes.com โดยเฉพาะเรื่องการเลื่อนการแข่งขันออกไปเป็นช่วงเดือนกันยายน นั้น สมาคมได้ส่งหนังสือยืนยันแจ้งการเปลี่ยนแปลงการแข่งขันตามมติในที่ประชุมให้ทรูทราบด้วย ผมเข้าใจว่าทางทีมผู้บริหารของทรูรับทราบเรื่องดังกล่าว อีกทั้งทรูเองก็มีผู้บริหารที่อยู่ในสภากรรมการที่รับทราบความเคลื่อนไหวต่างๆ อยู่ตลอด”

"อย่างไรก็ตามจากปัญหาที่เกิดขึ้นทางสมาคม ก็เข้าใจในความจำเป็นของทรู ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้นัดวันเจรจาหาทางออกเรื่องนี้ในวันที่ 24 กรกฎาคม ซึ่งผมอยากให้เป็นการเจรจากันอย่างสร้างสรรค์ และหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะหาข้อยุติที่ลงตัวกันได้ ที่ผ่านมาทางทรูก็สนับสนุนวงการกีฬาฟุตบอลมาด้วยดีโดยตลอด ขณะที่สมาคมเองก็พร้อมจะเดินหน้าหาทางแก้ไขปัญหาๆ ให้การจัดแข่งขันฟุตบอลลีกอาชีพกลับมาแข่งขันอีกครั้ง" รองประธานบริษัท ไทยลีก กล่าว

6 ประเด็นร้อนก่อนเกมพรีเมียร์ลีกนัดสุดท้าย


เดินทางมาถึงเกมสุดท้ายของฤดูกาล 2019/20 


ความมันส์ยังมีให้ลุ้นคือตั๋วอีก 2 ใบสำหรับศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รวมถึงทีมตกชั้นที่ยังต้องหาอีก 2 ทีมร่วงลงไปเล่นแชมเปี้ยนชิพ สำหรับประเด็นก่อนเกมจะมีอะไรน่าสนใจบ้าง เราคัดมาให้ดูกัน 6 แมตช์ แบบเต็มๆ เน้นๆ อาร์เซน่อล - วัตฟอร์ด ในกรณีที่ทีมอันดับ 9 อย่าง เบิร์นลี่ย์ ไม่ชนะ ไบรท์ตัน แล้ว อาร์เซน่อล เก็บชัยได้เหนือ วัตฟอร์ด ก็จะทำให้ "เดอะ กันเนอร์ส" แซงขึ้นไปจบอันดับ 9 ทันที

อย่างไรก็ตาม วัตฟอร์ด ที่อยู่อันดับ 18 ซึ่งเป็นพื้นที่ตกชั้น ก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเก็บชัยชนะหรือต้องทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองมีผลการแข่งขันที่ดีกว่า แอสตัน วิลล่า ที่ตอนนี้ทั้งคู่มีแต้มเท่ากัน แต่ผลต่างประตูของ "แตนอาละวาด" เป็นรอง อาร์เซน่อล ไม่แพ้ใครเกมลีกในถิ่น เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม มาแล้ว 8 เกมติดต่อกัน (ชนะ 6 เสมอ 2) โดยสอยตาข่ายคู่แข่งได้ถึง 18 ลูก และเสียไปแค่ 5 ประตูเท่านั้น ส่วนการเจอกับ วัตฟอร์ด ในเกมลีกที่บ้านตัวเอง 6 นัดหลัง "ไอ้ปืนใหญ่" คว้าชัยได้ 5 นัด(แพ้ 1) ซึ่งทุกนัดที่คว้าชัยเป็นการเก็บคลีนชีตได้ทั้งหมด วัตฟอร์ด เสียประตูอย่างน้อย 1 ลูกตลอด 9 เกมในลีกหลังสุด และตลอดการเจอกับ อาร์เซน่อล 13 ในเกมลีก พวกเขาเป็นฝ่ายขึ้นนำเพียงครั้งเดียวเท่านั้น โดยเกิดขึ้นจากประตูของ ยูเนส กาบูล เมื่อเดือนมกราคม ปี 2017 เกมที่ วัตฟอร์ด บุกไปชนะ 2-1 เชลซี - วูล์ฟส์ เชลซี ต้องการแค่แต้มเดียวเท่านั้นเพื่อคว้าสิทธิ์ไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ในซีซั่นหน้า ส่วน วูล์ฟส์ หมายมั่นที่จะยึดท็อป 6 และไปเล่น ยูโรปา ลีก เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ในการเจอกับ วูล์ฟส์ ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ เชลซี ไม่แพ้เลยโดยแบ่งเป็นเก็บชัยได้ 4 และเสมออีก 1 แทมมี่ อับราฮัม ทำสกอร์ได้ตลอด 3 เกมยามที่ เชลซี เจอกับ วูล์ฟส์ โดยซัดได้ถึง 6 ลูก รวมถึง แฮตทริกใส่ได้ในเกมนัดแรกที่ "สิงห์บลูส์" เอาชนะไป 5-2 นับตั้งแต่ขึ้นชั้นกลับมาเมื่อปี 2018 วูล์ฟส์ ยิงใส่ เชลซี ได้ 5 ลูกจาก 3 เกมที่เจอกันบนลีกสูงสุด ซึ่งมันต่างกกันสิ้นเชิงกับก่อนหน้านี้ 8 นัดที่พวกเขายิงได้แค่ลูกเดียวเท่านั้นในการเจอกับ "สิงห์บลูส์" ราอูล ฮิเมเนซ ยิงได้ 17 ประตูในฤดูกาลนี้ ซึ่งประตูเหล่านั้นมีค่าทำให้ วูล์ฟส์ เก็บแต้มเข้ากระเป๋าถึง 19 คะแนน โดยมีถึง 8 เกมที่เขาเป็นผู้ซัดประตูชัยให้กับทีม คริสตัล พาเลซ - สเปอร์ส คริสตัล พาเลซ เล่นแบบไม่มีลุ้นอะไรเลยหลังแพ้รวดมา 7 เกม ด้าน สเปอร์ส ยังคงมีลุ้นแซง วูล์ฟส์ ขึ้นไปรั้งอันดับ 6 เพื่อพื้นที่ ยูโรปา ลีก ในการเล่นเกมนัดสุดท้ายของฤดูกาลที่บ้านตัวเอง พาเลซ คว้าชัยชนะได้ตลอด 4 เกมหลังสุด(รวมนัดเพลย์ออฟเลื่อนชั้น) พาเลซ ของ รอย ฮ็อดจ์สัน กำลังมีโอกาสที่จะกลายเป็นทีมที่ 8 ในประวัติศาสตร์ของ พรีเมียร์ลีก ที่ตลอดทั้งฤดูกาลไม่มีเกมไหนเลยที่ทำได้มากกว่า 2 ประตู และถ้านัดสุดท้ายพวกเขายังยิงได้ไม่เกิน 2 ประตูอีก พวกเขาก็จะเป็นทีมแรกที่มีสถิติแบบนั้นแต่รอดจากการตกชั้น

marcgoldin.com

สเปอร์ส เอาชนะ พาเลซ ได้ตลอด 9 เกมหลังสุดและไม่เสียประตูถึง 7 เกมด้วยกัน


เลสเตอร์ - แมนยู แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องการแค่ 1 คะแนนในเกมนี้เพื่อคว้าตั๋วไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นหน้า ขณะที่ เลสเตอร์ มองหาชัยชนะเหนือ "ปีศาจแดง" ในบ้านเกมแรกนับตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2014 เพื่อโอกาสไปเล่นฟุตบอลถ้วยใหญ่ยุโรป เลสเตอร์ เอาชนะ แมนยู ได้แค่ 1 นัดตลอดการเล่นในบ้านตัวเองบนเวทีพรีเมียร์ลีก(เสมอ4 แพ้8)
 
เจมี่ วาร์ดี้ ยิงให้ เลสเตอร์ ไป 23 ประตูในฤดูกาลนี้ โดยขอแค่อีกประเดียวเดียวก็จะทำสถิติดีที่สุดเทียบเท่าเมื่อฤดูกาล 2015/16 แมนฯ ยูไนเต็ด มีโอกาสสูงเหลือเกินที่จะจบท็อปโฟร์ เมื่อมองจากสถิติที่พวกเขาไม่แพ้ "เดอะ ฟ๊อกซ์" เลยตลอด 10 หลังสุดที่เจอกัน (ชนะ 7 เสมอ 3) แฮร์รี่ แม็กไกวร์ เตรียมเป็นผู้เล่นตำแหน่งเอาท์ฟิลด์คนแรกของ "ปีศาจแดง" ที่ลงเล่นเป็นตัวจริงทุกเกมในศึกพรีเมียร์ลีก ต่อจาก แกรี่ พัลลิสเตอร์ เมื่อซีซั่น 1994/95 แมนฯ ซิตี้ - นอริช แมนฯ ซิตี้ เล่นในบ้านชนะ นอริช ได้ 3 จาก 4 เกมหลัง(แพ้ 1) โดยสอยตาข่ายไป 16 ลูก หาก ราฮีม สเตอร์ลิง ทำประตูได้ จะทำให้เขาเป็นผู้เล่นชาวอังกฤษคนแรกของ ซิตี้ ที่ทำประตูบนเวที พรีเมียร์ลีก ได้ถึง 20 ลูก นอริช แพ้ทุกครั้งที่ตัวเองตกเป็นฝ่ายตามหลัง (26 เกม) ซึ่งพวกเขาจะเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกที่ไม่สามารถเอาแต้มคืนมาได้เลยยามที่โดนยิงนำไปก่อน หลังจากที่เอาชนะได้ในเกมแรกที่เจอกันเมื่อเดือนกันยายน นอริช ก็หวังที่จะเก็บชัยเหนือ ซิตี้ แบบเหย้า-เยือนให้ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ซีซั่น 1964/65 นิวคาสเซิล - ลิเวอร์พูล ลิเวอร์พูล วางเป้าเก็บให้ได้ถึง 99 คะแนน marcgoldin.com ส่วน นิวคาสเซิล ฟอร์มไม่สู้ดี ไม่ชนะใครมาแล้ว 5 เกมติดต่อกัน นิวคาสเซิล เป็นทีมที่เล่นเกมสุดท้ายได้ดีเหลือเชื่อ เมื่อตลอด 5 เกมหลังเอาชนะได้ทั้งหมด โดยมีผลต่างประตูถึง 17-1 อย่างไรก็ตามครั้งสุดท้ายที่พวกเขาแพ้วันปิดฤดูกาลก็คือแพ้ต่อ ลิเวอร์พูล 1-2 เมื่อซีซั่น 2013/14

จอนโจ้ เชลวี่ย์ เป็นผู้เล่นสาลิกาดงที่ยิงประตูมากสุดในลีกฤดูกาลนี้ที่ 6 ประตู ซึ่งในจุดนี้นับเป็นตัวเลขต่ำที่สุดนับตั้งแต่ที่ คาร์ล คอร์ต และโนลแบร์โต้ โซลาโน่ ทำไว้เมื่อฤดูกาล 2000/01 โมฮาเหม็ด ซาลาห์ มีส่วนร่วมกับประตู 5 ครั้งในการเจอกับ นิวคาสเซิล 4 นัด (4 ประตู 1 แอสซิสต์) ซึ่งแต่ละนัด ดาวยิงอียิปต์ จะทำประตูได้ตลอด

ลูกากูเบิ้ล-อเล็กซิซก็ยิง! อินเตอร์บุกต้อนเจนัว ขึ้นรองฝูงตามยูเว่4แต้ม


อินเตอร์ มิลาน ไม่พลาดสามแต้มหลังบุกไปเอาชนะ เจนัว 3-0 


โรเมลู ลูกากู เหมาสองประตู พร้อม อเล็กซิส ซานเชซ ที่ลงมาสำรองซัดอีกเม็ด ส่งให้งูใหญ่แซง อตาลันต้า ขึ้นรองจ่าฝูง โดยตามหลัง "ม้าลาย" 4 แต้ม ขณะที่ เจนัว ต้องลุ้นหนีตกชั้นสอีกสองเกมที่เหลือ ในศึก กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 25 ก.ค.ที่ผ่านมา
 
ศึกกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี นัดที่ 36 เจ้าถิ่น เจนัว ทีมอันดับ 17 ยังไม่ปลอดภัยต้องการแต้มเพื่อหนีตกชั้นเกมนี้รับมือ "งูใหญ่" อินเตอร์ มิลาน อันดับ 3 ซึ่งการันตีไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แล้วซึ่งเกมนี้บุกมาคว้าชัยจะแซง อตาลันต้า ขึ้นรองจ่าฝูงทันที เปิดฉากครึ่งแรก นาทีที่ 8 เจ้าบ้านได้ทักทายก่อนจากจังหวะที่ โดเมนิโก้ คริสชิโต้ ครอสบอลไปหน้าประตูให้ อันเดรีย ปินามอนติ อดีตแข้งงูใหญ่เทกตัวโขกกว่า 12 หลาบอลพุ่งถากเสาไกลออกไปแบบได้เสียว "งูใหญ่" สวนกลับมาเป็นชุด นาที 13 เลาตาโร่ มาร์ติเนซ จ่ายให้ ลูกากู ซัดด้วยซ้ายไปติดบล็อค บอลไหลมาถึง บิรากี จ่ายสั้นๆให้ คริสเตียน เอริคเซ่น อัดด้วยซ้ายนอกกรอบแต่บอลบอลไปเข้ามือ มัตเตีย เปริน นาที 22 อินเตอร์ มิลาน เกือบได้ลุ้นขึ้นนำอีกที คริสเตียน เอริกเซ่น พาบอลขึ้นมาแล้วออกซ้ายให้ ลูกากู ก่อนที่อดีตแข้งผีแดงจะจ่ายเข้าในให้ เอริกเซ่น ตอกส้นให้ ลูกากู แต่ยิงไปได้เลยจ่ายสั้นๆให้ มาร์เซโล่ โบรโซวิช ซัดด้วยซ้ายไปแฉลบแข้งเจ้าถิ่นถากเสาออกไป อีก 6 นาที เจ้าบ้าน เจนัว สวนขึ้นมาบ้างและจบด้วยการยิงประตูจากจังหวะการจ่ายบอลของ ฟิลิป จากีลโล่ ไหลให้ ปีเตอร์ แอนเคอร์เซ่น ปั่นด้วยซ้ายไปเสาไกลแต่ยังไม่ผ่านมือ ซาเมียร์ ฮันดาโนวิช ล้มตัวรับไว้ได้

manxmoviesound.com

จบครึ่งแรก เจนัว ตามหลัง อินเตอร์ มิลาน 0-1


เกมเล่นกันสนุกเลย นาที 30 เลาตาโร่ มาร์ติเนซ ตะลุยขึ้นทางซ้ายแล้ววปาดเข้ากลางให้ ลูกากู บังบอลแล้วจ่ายสั้นๆให้ เอริคเซ่น วิ่งมายิงด้วยขวาเหินคานไปอย่างน่าเสียดาย นาที 34 อินเตอร์ มิลาน ขึ้นนำ 1-0 จนได้ บอลจากซ้ายของ คริสเตียโน่ บิรากี ตักด้วยขวามาเสาสองให้ โรเมลู ลูกากู เบียดเอาชนะ คริสเตียน ซาปาต้า ก่อนโขกเช็ดเสียบเสาเข้าไปอย่างเด็ดขาด เป็นประตูที่ 22 ในลีกของหัวหอกชาวเบลเยียมรายนี้

ท้ายครึ่งแรก นาที 44 เจนัว พลาดลูกตีเสมอ หลังได้ฟรีคิกหน้ากรอบกว่า 20 หลา ฟิลิป จากีลโล่ ปั่นด้วยขวาหนีกำแพงแต่โค้งไม่พอหลุดเสาออกไปอย่างน่าเสียดาย กลับมาเล่นต่อในครึ่งหลัง เจนัว โหมบุกอย่างหนัก นาที 62 โดเมนิโก้ คริสชิโต้ ได้ส่องไกลนอกกรอบแต่บอลพุ่งลอยโด่งไปไกล เจ้าถิ่นรุกมาอีกที นาที 75 ฟิลิป จากีลโล่ เปิดบอลให้ อันเดรีย ปินามอนติ ซัดด้วยขวาไปแฉลบ บีรากิ ออกหลังไป นาที 82 "งูใหญ่" มาได้ประตูที่สองนำห่าง 2-0 จากความยอดเยี่ยมของ วิคเตอร์ โมเสส ที่พาบอลขึ้นมาถึงเส้นหลังก่อนครอสมาในกรอบให้ อเล็กซิส ซานเชซ ตัวสำรองตั้งเท้าขวาแปเช็ดคานเข้าไป ช่วงทดเจ็บ นาที 90+3 ทีมเยือนมาได้ประตูนำห่างเป็น 3-0 manxmoviesound.com จากจังหวะที่ มาร์เซโล่ โบรโซวิช แทงบอลให้ โรเมลู ลูกากู หลุดเข้าไปสับขาหลอกก่อนโยกเข้าเท้าซ้ายข้างถนัดแล้วยิงผ่านมือ  มัตเตีย เปริน เข้าไปอย่างเฉียบขาดเป็นประตูที่สองในเกมนี้ของอดีตดาวเตะผีแดง และประตูที่ 23 ในลีก

จบเกม อินเตอร์ มิลาน บุกมาคว้าชัยเหนือ เจนัว 2-0 คว้าสามแต้มแซง อตาลันต้า ขึ้นไปรองรั้งรองจ่าฝูงมี 76 คะแนน ตามหลังจ่าฝูง ยูเวนตุส ที่แข่งน้อยกว่าหนึ่งนัดแค่ 4 คะแนน ทว่าหากพรุ่งนี้ "ม้าลาย" คว้าชัยจะการันตีแชมป์สคูเด็ตโต้ทันที ส่วนทางด้าน เจนัว รั้งอันดับ 17 มี 36 คะแนนแต้มมากกว่าโซนตกชั้น 4 คะแนนแต่แข่งมากกว่าหนึ่งนัด ทำให้ต้องลุ้นอีก 2 เกมที่เหลือว่าจะอยู่รอดในเซเรีย อา ได้หรือไม่

เก้าอี้ว่างอีกแค่ 2 ที่! เกร็ดการลงเล่นเกมปิดสนามของ 3 ผู้ชิงตำแหน่งท็อปโฟร์


แม้ว่าศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2019-20 จะรู้ไปแล้วว่า ลิเวอร์พูล ได้แชมป์ลีกไปครอง แต่มันก็ยังมีอีกหลายประเด็นที่ต้องตัดสินกันในนัดสุดท้ายของฤดูกาล 


ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการชิงพื้นที่ 4 อันดับแรกของตารางคะแนนสำหรับการได้สิทธิ์ลงเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลหน้า โดยตอนนี้ที่ว่างในส่วนนั้นเหลืออีกเพียง 2 ที่เท่านั้น ปัจจุบันมี 3 ทีมที่ต้องลุ้นชิงเก้าอี้ที่เหลืออยู่ ได้แก่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ปัจจุบันเป็นอันดับ 3, เชลซี ซึ่งตอนนี้ครองอันดับ 4 และ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่เป็นอันดับ 5 โดยที่ เลสเตอร์ กับ แมนฯ ยูไนเต็ด จะโคจรมาเจอกันเองที่ คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม รังเหย้าของฝ่ายแรก ส่วน เชลซี ต้องรับการมาเยือนของ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ซึ่งก็ไม่ใช่งานง่าย เพราะอีกฝ่ายยังต้องลุ้นพื้นที่การได้สิทธิ์เล่น ยูฟ่า ยูโรปา ลีก อยู่

ทั้งนี้ วันนี้เรามีเกร็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับการเล่นนัดปิดฤดูกาลของม้า 3 ตัวที่กำลังชิงพื้นที่ท็อปโฟร์มาให้ได้ชมกัน ลองไปดูกันดีกว่าว่ามันมีอะไรน่าสนใจบ้าง แมนฯ ยูไนเต็ด (นัดสุดท้ายเยือน เลสเตอร์) แมนฯ ยูไนเต็ด เล่นนัดปิดฤดูกาลในฐานะทีมเยือน 15 ครั้ง นับตั้งแต่ที่ลีกสูงสุดหันมาใช้ชื่อ พรีเมียร์ลีก โดยสถิติแบ่งเป็น ชนะ 10 เกม, เสมอ 4 ครั้ง และแพ้ 1 นัด อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่ชนะเกมเยือนในนัดปิดซีซั่นมา 3 เกมติดต่อกันแล้ว ประกอบด้วยเสมอกับ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 5-5 ในฤดูกาล 2012-13, เจ๊ากับ เซาธ์แฮมป์ตัน 1-1 ในซีซั่น 2013-14 และเสมอกับ ฮัลล์ ซิตี้ ในฤดูกาล 2014-15 เกมเยือนซึ่งเป็นเกมปิดฤดูกาลนัดเดียวที่ แมนฯ ยูไนเต็ด แพ้คือเกมที่พ่าย ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 1-3 เมื่อฤดูกาล 2000-01 แต่วันนั้นมันเป็นเกมที่ไม่มีความหมายอะไรกับ แมนฯ ยูไนเต็ด manelmakeup.com เพราะพวกเขาการันตีแชมป์ลีกได้ตั้งนานแล้ว และที่จริงซีซั่นนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ปล่อยตัวเต็มที่จนแพ้เกมลีกครบทั้ง 3 นัดสุดท้ายของฤดูกาลด้วย ตั้งแต่หมดยุคของ เฟอร์กูสัน แมนฯ ยูไนเต็ด แพ้ในนัดปิดซีซั่นแค่ครั้งเดียวจาก 6 ฤดูกาลที่ผ่านมา โดยที่เหลือแบ่งเป็นชนะ 3 เกม กับ เสมอ 2 นัด ปัญหาก็คือการแพ้นัดเดียวที่ว่าเพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ เมื่อซีซั่นก่อน จากการแพ้ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ คารัง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด 0-2

manelmakeup.com

ตั๋ว 2 ใบสุดท้าย


นอกจากนี้ ตั้งแต่ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่มี เฟอร์กูสัน เป็นกุนซือแล้วนั้น พวกเขาก็ยังไม่ชนะเกมเยือนในนัดปิดฤดูกาลของลีกเลยด้วย เพราะทำได้แค่เสมอ เซาธ์แฮมป์ตัน กับ ฮัลล์ ตามที่บอกไปในข้อข้างบน ส่วนจำนวนประตูรวมที่ทำได้ในเกมนัดปิดซีซั่น 6 ฤดูกาลก่อนหน้านี้คือ 7 ประตู และเสียไป 4 ลูก

เชลซี (นัดสุดท้ายเปิดบ้านเจอ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส) แม้ว่า เชลซี จะไม่ชนะในเกมปิดซีซั่นมา 2 ฤดูกาลติดต่อกัน แต่มันเป็นเกมเยือนทั้งคู่ ในทางกลับกัน ตลอดช่วง 27 ฤดูกาลก่อนหน้านี้ของ พรีเมียร์ลีก พวกเขาได้เล่นในบ้านเป็นการปิดฉากลีก 17 ครั้ง ซึ่งสถิติก็สวยหรูสุดๆ ด้วยการชนะ 12 เกม เสมอ 3 นัด และแพ้เพียง 2 หน แถมหนึ่งในนั้นยังเป็นการถล่ม วีแกน แอธเลติก แบบขาดลอย 8-0 ในฤดูกาล 2009-10 อีก ทั้งนี้ หากนับเฉพาะ 5 นัดหลังสุดที่ได้เล่นใน สแตมฟอร์ด บริดจ์ เป็นนัดปิดฤดูกาลนั้น เชลซี ชนะได้ถึง 4 เกม ประกอบด้วยการชนะ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส 2-1 ในฤดูกาล 2011-12, เฉือน เอฟเวอร์ตัน ด้วยสกอร์เดียวกันในซีซั่น 2012-13 คว้าชัยเหนือ ซันเดอร์แลนด์ 3-1 ในฤดูกาล 2014-15 และเกมถล่ม ซันเดอร์แลนด์ อีกรอบด้วยสกอร์ 5-1 ในฤดูกาล 2016-17 ส่วนที่สะดุด 1 เกมคือการเจ๊ากับ เลสเตอร์ 1-1 ในฤดูกาล 2015-16 เลสเตอร์ (นัดสุดท้ายเปิดบ้านเจอ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด) นับตั้งแต่ที่ เลสเตอร์ เลื่อนชั้นกลับมาสู่ พรีเมียร์ลีก ได้ในฤดูกาล 2014-15 พวกเขาเก็บชัยชนะในนัดปิดซีซั่นได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น นั่นคือในฤดูกาลแรกที่กลับขึ้นมาสู่ลีกสูงสุด จากการที่เปิดบ้านไล่ต้อน ควีสน์ปาร์ค เรนเจอร์ส 5-1 โดยผลงานนัดรูดม่านปิดฉากในอีก 4 ซีซั่นต่อมาแบ่งเป็นการออกไปเสมอ เชลซี 1-1, เปิดบ้านเจ๊า บอร์นมัธ 1-1, ออกไปแพ้ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 4-5 และเฝ้าบ้านเสมอ เชลซี แบบไร้สกอร์

อย่างไรก็ตาม ถ้าย้อนกลับไปในช่วง 5 ซีซั่นที่พวกเขาโลดแล่นในศึก เดอะ แชมเปี้ยนชิพ แล้วล่ะก็ เลสเตอร์ มีผลงานที่เพอร์เฟ็กต์กับการเล่นนัดปิดซีซั่น เพราะชนะครบทั้ง 5 นัด โดยในจำนวนนั้นเป็นเกมในบ้านของตัวเอง 3 หนด้วยกัน

ซาลาห์ลาหงส์,เมสซี่ลุยกัลโช่?อัพเดตล่าสุดข่าวเด่นตลาดนักเตะลีกยุโรป 


ทำเอาเหล่าสาวก "เดอะ ค็อป" ใจหายเลยทีเดียว 


เพราะล่าสุดมีข่าวว่า โมฮาเหม็ด ซาลาห์ อาจจะไม่อยู่กับ ลิเวอร์พูล ต่อหลังจบซีซั่นนี้ ขณะที่ ลิโอเนล เมสซี่ ก็อาจเลือกชิ่ง บาร์เซโลน่า ช่วงซัมเมอร์ปีหน้า ส่วน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตอนนี้แอบมีลุ้นขึ้นมาเล็กๆ ที่จะได้ตัว ยาน โอบลัค ยอดนายทวาร แอตเลติโก มาดริด แต่จะเพราะสาเหตุใดนั้น เรามาหาคำตอบกัน

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ดาวยิงตัวเก่ง ลิเวอร์พูล ไม่ปิดโอกาสที่จะอำลาถิ่น แอนฟิลด์ หลังจบซีซั่นนี้ แม้เพิ่งคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก มาครองร่วมกับต้นสังกัด อดัม ลัลลานา กองกลางจอมเทคนิคเลือดผู้ดี ที่กำลังจะหมดสัญญากับ ลิเวอร์พูล เตรียมโยกซบ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน แบบฟรีๆ หลังจบซีซั่นนี้ หลังจากที่ตกลงสัญญา 3 ปี กับทาง "เดอะ ซีกัลล์ส" ได้เรียบร้อย อินเตอร์ มิลาน มีแผนการใหญ่ที่จะออกล่าตัว ลิโอเนล เมสซี่ ยอดกองหน้ากัปตันทีม บาร์เซโลน่า มาร่วมทัพในช่วงซัมเมอร์ปี 2021 ซึ่งเป็นช่วงที่ เมสซี่ หมดสัญญากับ บาร์ซ่า เรียบร้อย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เล็ง คิงส์เลย์ โกมัน ปีกความเร็วสูงของ บาเยิร์น มิวนิค เป็นอีกหนึ่งทางเลือก หากวืดเป้าหมายหลักอย่าง เจดอน ซานโช ปีกดาวดัง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ นอกจากนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังคงจับตาดูสถานการณ์ของ ยาน โอบลัค ผู้รักษาประตูจอมหนึบของ แอตเลติโก มาดริด อย่างใกล้ชิด maiyahsiamese.com เนื่องจาก "ตราหมี" อาจจะยอมขายในราคาที่ต่ำกว่าค่าฉีกสัญญา 120 ล้านยูโร (ประมาณ 4,320 ล้านบาท) หลังจากที่วงการลูกหนังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส "โควิด-19"

maiyahsiamese.com

อัพเดตตลาดนักเตะล่าสุด


ขณะที่ เซร์คิโอ โรเมโร่ ผู้รักษาประตูมือสองของ "ปีศาจแดง" กำลังตกเป็นเป้าหมายเสริมทัพของ เอฟเวอร์ตัน รวมถึงทีมน้องใหม่แต่หน้าเก่าในศึก พรีเมียร์ลีก อย่าง ลีดส์ ยูไนเต็ด เชลซี กำลังพิจารณาที่จะคว้าตัว จอห์น สโตนส์ เซนเตอร์แบ็กเลือดผู้ดีของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มาร่วมทัพ เนื่องจากกุนซือ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ต้องการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับแนวรับ ขณะที่ สโตนส์ ก็ไม่ค่อยได้รับโอกาสลงเล่นเท่าที่ควรในถิ่น เอติฮัด สเตเดี้ยม

อาร์เซน่อล กาหัว ราอูล ฮิเมเนซ กองหน้าเลือดจังโก้ของ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส เป็นเป้าหมายหลัก หาก ปิแอร์-เอเมอริก โอบาเมยอง ดาวยิงกัปตันทีม เลือกอำลาถิ่น เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ซัมเมอร์นี้ นอกจากนี้ "ไอ้ปืนใหญ่" ยังเล็งยืม ซามูแอล อุมติตี้ เซนเตอร์แบ็กดีกรีแชมป์โลกของ บาร์เซโลน่า มาใช้งาน แต่อาจจะต้องแย่งชิงกับ เอฟเวอร์ตัน, เวสต์แฮม ยูไนเต็ด, โอลิมปิก มาร์กเซย และ โอลิมปิก ลียง ที่ต่างกำลังมอง ดาวเตะวัย 26 ปี อยู่เช่นกัน ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เป็นทีมเต็งที่จะได้ตัว คัลลั่ม วิลสัน หัวหอก บอร์นมัธ มาร่วมทัพในราคาเพียง 10 ล้านปอนด์ (ประมาณ 400 ล้านบาท) ถ้าหาก "เดอะ เชอร์รีส์" ตกชั้น คริสตัล พาเลซ พร้อมพิจารณาขาย วิลฟรีด ซาฮา ปีกจอมพลิ้วชาวไอวอรี่โคสต์ หลังจบซีซั่นนี้ หากได้รับข้อเสนอที่น่าพอใจ ซึ่งคาดว่าน่าจะอยู่ที่ราว 40 ล้านปอนด์ (ประมาร 1,600 ล้านบาท) ดาบิด ราย่า ผู้รักษาประตูฝีมือดีชาวสแปนิชของ เบรนท์ฟอร์ด กำลังตกเป็นเป้าหมายเสริมทัพของสองสโมสรยักษ์ใหญ่ พรีเมียร์ลีก อย่าง อาร์เซน่อล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยูเวนตุส ยังคงมีความสนใจที่จะคว้าตัว จอร์จินโญ่ ห้องเครื่อง เชลซี โดยกำลังรอดูสถานการณ์ว่า "สิงห์บลูส์" จะคว้าโควตาลุยศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้าได้หรือไม่

อาแอส โรม่า มีแผนที่จะเซ็นสัญญากับ วิคเตอร์ โมเสส วิงแบ็ก เชลซี ที่ตอนนี้กำลังเล่นให้กับ อินเตอร์ มิลาน ภายใต้สัญญายืมตัว เรอัล มาดริด หวังโกยเงินเข้าสโมสรให้ได้ราว 180 ล้านยูโร (ประมาณ 6,480 ล้านบาท) จากการขายนักเตะทิ้งช่วงซัมเมอร์นี้ โดย แกเร็ธ เบล, ฮาเมส โรดริเกซ และ ลูก้า โยวิช เป็นสามแข้งดังที่ส่อแววถูกโละ

ชี้ชะตาตั๋วชปล.! 6 ข้อน่าจับตาก่อนแมนยูบุกทำศึกเลสเตอร์นัดสุดท้าย


ถือเป็นเกมบิ๊กแมตช์ที่น่าสนใจที่สุดในเกมพรีเมียร์ลีกนัดสุดท้ายคืนนี้ 


เมื่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะต้องบุกไปเยือน เลสเตอร์ ซิตี้ ที่รังคิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม ซึ่งศึกครั้งนี้มีตั๋วยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้าเป็นเดิมพัน ถ้าหากใครพลาดจะส่งผลเสียหายต่อสโมสรแน่นอน เรามาเรียกน้ำย่อยด้วยประเด็นน่าสนใจก่อนเกมกันเลย 1.ล้าเป็นเหตุสังเกตได้ แม้ว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะไม่แพ้ใครในลีกมา 13 นัดติดต่อกัน แต่เห็นได้ชัดว่าช่วง 4 นัดหลังสุดพวกเขาฟอร์มแผ่วลงมาเป็นอย่างมาก สาเหตุหลักมาจากการโรเตชั่นนักเตะน้อยเกินไปจนทำให้ผู้เล่นตัวหลักเกิดอาการล้า หลังจากพวกเขาเสมอกับ สเปอร์ส ในเกมเปิดหัวรีสตาร์ทลีก พวกเขาก็ใช้นักเตะ 11 ตัวจริงชุดเดิมลงเล่น 5 นัดติดต่อกันในลีกแบบไม่ได้พักเลย

นัดเจอ เวสต์แฮม เกมล่าสุด พวกเขามีแรงฮึดตีเสมอในช่วงครึ่งหลังแต่ด้วยพละกำลังที่อ่อนแรงมากทำให้เร่งเครื่องไม่ขึ้นจนยิงแซงคู่แข่งไม่ได้ คนที่ออกอาการล้าสะสมแบบชัดเจนคือ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ซึ่งสองเกมหลังสุดทำผลงานได้ไม่ดีนักและมีจังหวะที่ผิดพลาดเยอะมาก ใครๆก็รู้ว่านักเตะคนนี้มีส่วนสำคัญอย่างมากกับของทีม เมื่อเขาเล่นไม่ออกเกมรุกของ “ผีแดง” ก็มีประสิทธิภาพน้อยลงตามไปด้วย อย่างไรก็ตามในมุมมองของ โซลชา ก็คงไม่สามารถพักตัวหลักได้จริงๆเพราะตัวสำรองที่มีอยู่ถือว่าห่างชั้นกับตัวจริงมาก และการเปลี่ยนตัวหลักออกก็มีบทเรียนมาแล้วในเกมเสมอ เซาธ์แฮมป์ตัน นี่เป็นปัญหาที่ “ผีแดง” คงต้องสะสางในช่วงหลังจบฤดูกาล แต่ในคืนนี้พวกเขาเสียเปรียบแน่นอนกับการพักแค่ 3 วันขณะที่เจ้าบ้านพักมา 1 อาทิตย์เต็มๆ “ผีแดง” คงต้องกระตุ้นนักเตะให้เรียกแรงเฮือกสุดท้ายในการเยือนรังจิ้งจอก 2.เงื่อนไขการคว้าตั๋ว การแข่งขันคืนนี้คงต้องติดตามกันแบบเรียลไทม์ทั้งที่สนาม คิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม และ สแตมฟอร์ด บริดจ์ เพราะสกอร์ทั้งสองสนามอาจส่งผลต่อการชี้เป็นชี้ตายตั๋ว ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้าเลยก็ว่าได้ เริ่มจากฝั่ง เชลซี ต้องการอีกเพียงแค่คะแนนเดียวเท่านั้นในการเจอกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน ซึ่งถ้าพวกเขาทำได้ก็ไม่ต้องมากังวลผลการแข่งขันอีกสนามเลย แต่ถ้าพวกเขาดันเกิดพ่ายแพ้ขึ้นมาก็ต้องหวังพึ่งให้ แมนฯ ยูไนเต็ด บุกชนะ เลสเตอร์ เท่านั้น luminokaya.com ขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด มีเงื่อนไขเดียวกันกับ เชลซี นั่นคือการเก็บผลเสมอเป็นอย่างน้อยก็จะเพียงพอต่อการไป ชปล. แล้ว แต่ถ้าหากพวกเขาดันพลิกล็อกพ่ายแพ้ขึ้นมา “ผีแดง” คงต้องหวังให้ เชลซี พ่ายต่อ วูล์ฟส์ ด้วยนั่นจะทำให้ลูกทีมของ โซลชา จบอันดับ 4 ด้านทัพ “จิ้งจอก” ทางที่ดีที่สุดโดยไม่ต้องลุ้นสนามอื่นเลยคือการเอาชนะ “ปีศาจแดง” ให้ได้ แต่ถ้าเก็บได้แค่ผลเสมอ พวกเขาต้องให้ เชลซี พ่ายแพ้ต่อ วูล์ฟส์ ไม่อย่างงั้นจะฝันสลายอดไป ชปล. ทันที 3.จิ้งจอกพิการแต่สู้ตาย นับตั้งแต่ลีกกลับมารีสตาร์ท เลสเตอร์ ซิตี้ เก็บคะแนนในพรีเมียร์ลีกเฉลี่ยแค่ 1.1 แต้มต่อเกมเท่านั้น (เก็บ 9 คะแนนจาก 8 นัด) ทั้งที่ก่อนหน้าจะมีการหยุดแข่งขัน พวกเขาเก็บแต้มเฉลี่ย 1.8 แต้มต่อเกม  (เก็บ 53 คะแนนจาก 29 นัด) ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ลูกทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ฟอร์มรูดลงอย่างหนักคืออาการบาดเจ็บของผู้เล่นคนสำคัญ เริ่มมาตั้งแต่ ริคาร์โด้ เปเรยร่า แบ็กขวาตัวเก่งเอ็นหัวเข่าฉีกขาดเมื่อเดือนมีนาคม ต่อมา เจมส์ แมดดิสัน กองกลางตัวปั้นเกมคนสำคัญมีอาการบาดเจ็บตรงสะโพกเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม ก่อน เบน ชิลเวลล์ จะเป็นอีกรายที่อดลงสนามหลังจากบาดเจ็บต้นขา ขณะที่ คริสเตียน ฟุคส์ ที่เป็นแบ็กซ้ายสำรองมีอาการเจ็บตรงโคนขาหนีบเช่กัน เมื่อตัวหลักทยอยกันเจ็บมันเลยส่งผลถึงฟอร์มการเล่นของนักเตะที่เหลือโดยเฉพาะ เจมี่ วาร์ดี้ ที่เป็นดาวซัลโวแต่นับตั้งแต่รีสตาร์ทลีก เขาก็ยิงเพียง 4 ประตูเท่านั้น

luminokaya.com

ประเด็นน่าสนใจก่อนเกม


ขณะที่ ร็อดเจอร์ส จำเป็นปรับแผนการเล่นที่ใช้มาตลอดทั้งฤดูกาลอย่าง 4-1-4-1 กลายเป็น 3-4-1-2 หรือ 3-4-3 แทนซึ่งผลการแข่งขันก็ออกมาไม่ดีเท่าไหร่นักเมื่อเก็บชัยเพียง 2 นัดตั้งแต่รีสตาร์ท ยิ่งไปกว่านั้น คักลาร์ โซยุนชู ดันมาโดนใบแดงในเกมพ่าย บอร์นมัธ ทำให้จะอดใช้งานกองหลังตัวเก่งยันนัดสุดท้ายอีกด้วย  เหมือนพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกจริงๆสำหรับ “จิ้งจอก” เลยส่งผลให้จากทีมที่เคยขึ้นไปถึงลุ้นแชมป์ฤดูกาลนี้ต้องตกลงมาอันดับ 5 และมีโอกาสจะอดไป ชปล. อีกด้วย ดังนั้นหากคืนนี้พวกเขาเก็บชัยชนะเหนือผีแดงด้วยตัวผู้เล่นแบบนี้ได้ต้องยอมนับถือหัวจิตหัวใจของพวกเขาจริงๆ

4.ปัญหาแบ็กซ้าย เป็นฤดูกาลที่ ลุค ชอว์ ต้องแข่งขันกับ แบรนดอน วิลเลี่ยมส์ ในการแย่งตำแหน่งแบ็กซ้ายมาตลอดทั้งซีซั่น ช่วงต้นฤดูกาล ลุค ชอว์ มีปัญหาอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อแฮมสตริงทำให้พลาดลงสนามในลีกถึง 10 นัดซึ่งก็เป็นเจ้าหนูวิลเลี่ยมส์ที่ขยับขึ้นยึดตัวจริงและทำผลงานได้เข้าตาทีเดียว จนกระทั่งช่วงเดือนธันวาคม ชอว์ กลับมาสู่ทีมพร้อมยึดตำแหน่งกลับมา อย่างไรก็ตามมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงฟอร์มการเล่นของ ลุค ชอว์ และบางคนมองว่าถึงเวลาต้องส่งไม้ต่อให้กับ วิลเลี่ยมส์ แล้วเนื่องจาก ชอว์ บาดเจ็บบ่อยเกินไปและยังทำแอสซิสต์หรือยิงประตูไม่ได้เลยทั้งที่ตำแหน่งแบ็กคือกำลังสำคัญในการเติมเกมรุกของแผน โซลชา ทว่า กุนซือผีแดงยังคงเชื่อมั่นในตัวของแบ็กซ้ายวัย 25 ปีคนนี้และยังให้โอกาสลงตัวจริงต่อไป ตลอดช่วงรีสตาร์ทยังมีเสียงวิจารณ์อยู่ ลุค ชอว์  เล็กน้อยแต่ในเกมกับ เซาธ์แฮมป์ตัน เจ้าตัวดันมาได้รับบาดเจ็บจนต้องถูกเปลี่ยนตัวออกในช่วงท้ายเกม หลังจากนั้นอีกสองนัดในลีกเขาพลาดลงสนามซึ่งมันส่งผลกระทบต่อฟอร์มของทีมด้วย ในเกมกับ พาเลซ โซลชา เลือกใช้ ทิโมธี โฟซู-เมนซ่าห์ ลงเล่นแบ็กซ้ายแต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะยังต้องรื้อฟื้นฟอร์มในสนามเนื่องจากไม่ได้ลงเล่นให้ทีมมาถึง 2 ปี เกมกับเชลซีและเวสต์แฮม โซลชา กลับมาใช้ วิลเลี่ยมส์ ลงสนามแต่ผลงานกลับไม่ได้ดีอย่างที่คิด เรื่องเกมบุกยังพอใช้ได้ แต่เกมรับมีปัญหาชัดเจน กลายเป็นว่าเมื่อเทียบกับฟอร์มของ ชอว์ ยังคงห่างชั้นอยู่มาก เมื่อวานนี้ ลุค ชอว์ เดินทางมาสนามซ้อมแต่ โซลชา กล่าวก่อนเกมว่ายังคงต้องเช็กฟิตแบ็กซ้ายรายนี้ ต้องรอดูว่าเขาจะพร้อมลงสนามหรือไม่ แต่ถ้าหากเป็น วิลเลี่ยมส์ ออกสตาร์ทตัวจริงก็คงจะเป็นบททดสอบครั้งใหญ่ของเจ้าหนูคนนี้ว่าจะรับมือกับเกมที่กดดันแบบนี้ได้หรือไม่ 5.วาร์ดี้ลุ้นรองเท้าทองคำ เจมี่ วาร์ดี้ กำลังเป็นผู้นำดาวซัลโวอยู่ในตอนนี้ที่ 23 ประตู อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่รีสตาร์ทลีก กองหน้าวัย 33 ปีเพิ่งจะทำประตูแค่ 4 ลูกเท่านั้นทั้งที่ตอน 19 นัดแรกของซีซั่นเจ้าตัวถล่มตาข่ายถึง 17 ลูกเลยทีเดียว นั่นทำให้ผู้ตามอย่าง แดนนี่ อิงส์ ที่กำลังอยู่ในช่วงฟอร์มร้อนแรงทำประตูตามมาที่ 21 ลูกแล้ว ขณะที่ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง เจ้าของดาวซัลโวฤดูกาลที่แล้วก็ไล่มาที่ 20 ประตู ดูเผินๆเหมือนจะยากทีเดียวที่จะตาม วาร์ดี้ ในนัดสุดท้าย แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ ต้องรอดูกันว่าในที่สุดเขาจะคว้ารองเท้าทองคำสมัยแรกได้หรือไม่หลังจากเคยเป็นแค่รองดาวซัลโวในฤดูกาล 2015/16 รวมถึงมีสิทธิ์จะทำสถิติเป็นนักเตะที่อายุมากที่สุดที่คว้าดาวซัลโวในลีกสูงสุดของอังกฤษนับตั้งแต่ รอนนี่ รุค (36 ปี) ของอาร์เซน่อล ทำไว้ในปี 1947-48 6.สถิติผีข่ม เมื่อเช็คสถิติการเจอกันแล้ว แฟนผีอาจจะสบายใจได้เล็กน้อยเมื่อ “ปีศาจแดง” พ่ายแพ้แค่นัดเดียวเท่านั้นตลอดการมาเยือน เลสเตอร์ ซิตี้ 13 นัดหลังสุดในลีก โดยครั้งสุดท้ายที่พ่ายแพ้เกิดขึ้นในเดือนกันยายนปี 2014 ด้วยสกอร์ 5-3 ขณะที่ 12 นัดที่เหลือมีเสมอ 4 ครั้ง และ “ผีแดง” เอาชนะได้ถึง 8 ครั้ง

นอกจากนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังไม่แพ้ทัพ “จิ้งจอก” ในลีกมา 10 นัดติดต่อกันแล้ว (ชนะ 7 เสมอ 3) และยังเป็นฝ่ายยิงประตูขึ้นนำตั้งแต่ 10 นาทีแรกใน 3 ครั้งหลังสุดที่เจอกันอีก อย่างไร “เดอะ ฟ็อกซ์” มีสถิติพ่ายในนัดสุดท้ายเพียงแค่นัดเดียวจาก 12 ฤดูกาลหลังสุด (ชนะ 7 เสมอ 4)

ผี, สิงห์, สุนัขจิ้งจอก ! สิ่งที่ 3 ทีมต้องทำในเกมสุดท้ายเพื่อยึดท็อปโฟร์


ความเข้มข้นของศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ยังไม่จบแม้ว่า ลิเวอร์พูล จะผงาดคว้าแชมป์ไปเรียบร้อยแล้ว 


และมีการมอบโทรฟี่แชมป์อย่างเป็นทางการเมื่อวันพุธที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา เพราะการลุ้นอันดับท็อปโฟร์เพื่อโควตายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ยังต้องวัดกันในเกมสุดท้ายของฤดูกาล 2019/2020 สำหรับตอนนี้ 3 ทีมที่ลุ้นโควตาสำคัญได้แก่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี และ เลสเตอร์ ซิตี้ โดยในแมตช์สุดท้ายมีความหมายอย่างมาก เพราะหากทีมใดทีมหนึ่งพลาดพลั้ง นั่นหมายความว่าโอกาสที่พวกเขาจะได้ลงไปโชว์เพลงแข้งในเกมถ้วยใบโตยุโรป ต้องรอไปอีก 1 ซีซั่นเลยทีเดียว

ในเวลานี้ "หงส์แดง" กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จองโควตาไปแล้ว 2 ที่นั่น ฉะนั้นเหลืออีกแค่ 2 ที่นั่น แน่นอนว่าจะต้องมี 1 ทีมที่ต้องอกหัก ซึ่งจะต้องหล่นไปเล่นในศึกยูฟ่า ยูโรปา ลีก แทน โดยในเกมนัดรองสุดท้ายต้องยอมรับว่าทั้ง 3 ทีมทำแต้มหลุดมือกันหมด ทัพ "ปีศาจแดง" ทำได้เพียงแค่เสมอกับ "ขุนค้อน" เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 1-1 ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ซึ่ง 1 คะแนนในเกมนี้คุ้มค่าอย่างมากกับทีมของกุนซือเดวิด มอยส์ เพราะเป็นการันตีว่า "เดอะ แฮมเมอร์ส" อยู่รอดปลอดภัยในลีกสูงสุดเมืองผู้ดี ในขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ขยับขึ้นไปรั้งอันดับ 3 ทำให้ต้องมาลุ้นเหนื่อยในเกมสุดท้าย ขณะที่ เชลซี ของกุนซือแฟร้งค์ แลมพาร์ด บุกไปโดน "เดอะ เร้ดส์" สอยมันสกอร์ 3-5 พร้อมกับชมการฉลองแชมป์อย่างมีความสุขของทัพ "หงส์แดง" ที่สนามแอนฟิลด์ lucandmark.com แต่ที่น่าเจ็บปวดก็คือการแพ้ในแมตช์นี้ทำให้ "สิงห์บลูส์" ต้องหล่นมาอยู่ในอันดับ 4 สำหรับ เลสเตอร์ ซิตี้ ดูเหมือนสถานการณ์จะค่อนข้างน่าเป็นห่วง เพราะเกมล่าสุดพวกเขาแพ้ต่อ "ไก่เดือยทอง" ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 0-3 ทำให้สถานการณ์ค่อนข้างเป็นรองทั้ง 2 สโมสร เพราะ "สุนัขจิ้งจอก" หลุดมาอยูที่ 5 และที่สำคัญเกมสุดท้ายพวกเขาต้องรับมือ แมนฯ ยูไนเต็ด ซะด้วย

lucandmark.com

ในเวลานี้สิ่งที่ทั้ง 3 สโมสรจำเป็นต้องทำในเกมสุดท้าย เพื่อที่จะคว้าอันดับไปเล่นฟุตบอลถ้วยใบโตยุโรปคืออะไร ? ต้องมาพิจารณาดูกัน


แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด VS เลสเตอร์ ซิตี้ (เยือน) สำหรับตอนนี้ต้องบอกว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ค่อนข้างถือไฟ่เหนือกว่าอีก 2 ทีมเพราะพวกเขาอยู่อันดับ 3 โดยมี 63 คะแนนเท่ากับ เชลซี แต่ผลต่างประตูได้เสียเหนือกว่า "สิงโตน้ำเงินคราม" โดยในแมตช์สุดท้าย "ผีแดง" ต้องเดินทางไปเยือน เลสเตอร์ ซิตี้ ในแมตช์นี้เป็นเกมที่จะพิสูจน์ฝีมือของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ในการวางหมากเพื่อรับมือกับ "เดอะ ฟ็อกซ์" โดยในเวลานี้ "ปีศาจแดง" มีคะแนนเหนือทีมของกุนซือเบรนแดน ร็อดเจอร์ส เพียงแค่ 1 แต้มเท่านั้น กระนั้นหากพวกเขาบุกไปแบ่งแต้มที่สนามคิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม ก็เพียงพอที่จะรั้งอันดับท็อปโฟร์เพื่อไปลุยแชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2020/2021
 
อย่างไรก็ตามหากเกิดฟ้าถล่มดินทลาย เจ้าของแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดี 20 สมัย โดน เลสเตอร์ สอย งานนี้พวกเขาก็อาจจะยังมีลุ้นคว้าโควตาลุยเกม "บิ๊กเอียร์" แต่มีข้อแม้ว่าต้องลุ้นให้ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ ชนะ เชลซี ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ เพราะแต้มก็ยังคงเท่าเดิม แต่ "เร้ด เดวิลส์" ได้เปรียบเรื่องผลต่างประตูได้เสีย เชลซี VS วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ (เหย้า) สถานการณ์ของทัพ "สิงโตน้ำเงินคราม" ดูเหมือนจะดี เพราะพวกเขารั้งอันดับ 4 มีแต้มเหนือ เลสเตอร์ ซิตี้ 1 คะแนน แต่หากมององค์ประกอบอื่นๆ ที่มีความสำคัญมากๆ นั่นก็คือประตูได้เสีย ทีมของกุนซือแฟร้งค์ แลมพาร์ด เป็นรองทั้งสองทีม เพราะพวกเขา +13 ขณะที่ "ผีแดง" กับ "เดอะ ฟ็อกซ์" +28 เท่ากัน หลังจากที่โดน "เดอะ เร้ดส์" ถลุงยับไม่นับญาติงานนี้ "แลมพ์ส" จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกระตุ้นลูกทีมในการเล่นเกมสุดท้ายของซีซั่นที่บ้านตัวเอง เพราะการรับมือ วูล์ฟส์ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เนื่องจาก "หมาป่า" ยังคั่วอันดับไปเล่นยูฟ่า ยูโรปา ลีก ฉะนั้นพวกเขาต้องพยายามชนะเจ้าบ้านเพื่อยึดอันดับ 6 ให้มั่น ในกรณีที่ เชลซี ทำได้เพียงแค่เสมอ วูล์ฟส์ ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขายึดท็อปโฟร์ แต่หากเกิดกรณีที่พวกเขาแพ้ผู้มาเยือน แต่ก็อาจจะได้ไปลุย แชมเปี้ยนส์ ลีก ในกรณีที่ "ปีศาจแดง" ชนะ "เดอะ ฟ็อกซ์" เลสเตอร์ ซิตี้ VS แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (เหย้า) แมตช์นี้ "เดอะ ฟ็อกซ์" เปิดรังรับมือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเกมสุดท้าย ซึ่งเป้าหมายเดียวที่พวกเขาคิดในเวลานี้ก็คือการต้องคว้าชัยชนะให้ได้ เพื่อจะได้ไม่ต้องไปสนใจเกมระหว่าง เชลซี พบ วูล์ฟส์ เพราะพวกเขาจะซิวโควตาแชมเปี้ยนส์ ลีก ทันที แน่นอนว่า 3 คะแนนจะเป็นการการันตีท็อปโฟร์ให้กับ "จิ้งจอกสยาม" เลสเตอร์ ซิตี้ แต่หากในกรณีที่ทำได้เพียงแค่เสมอทีมของกุนซือโอเล่ กุนนาร์โซลชา ก็อาจจะเพียงพอที่จะทำให้พวกเขาได้โอกาสกลับไปลุยฟุตบอลถ้วยใบโตยุโรปเช่นเดียวกัน
 
หาก เลสเตอร์ ได้ 1 คะแนนจาก แมนฯ ยูฯ และ เชลซี โดน วูล์ฟส์ บุกมาสอยถึง "เดอะ บริดจ์" นั่นจะทำให้ เลสเตอร์ ยึดอันดับ 4 ด้วยผลต่างประตูได้เสียที่เหนือกว่า "สิงโตน้ำเงินคราม" เพราะทั้งสองทีมยิงประตูได้เท่ากันที่จำนวน 67 ลูก แต่ "เดอะ ฟ็อกซ์" เสียประตูน้อยกว่า ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาได้เปรียบตรงจุดนี้ ฉะนั้นในเกมสุดท้ายของซีซั่น สาวก "เร้ด อาร์มี่", "สิงห์บลูส์" และ "เดอะ ฟ็อกซ์" ยังคงได้มีเรื่องให้ลุ้นหัวใจระส่ำ ส่วนผลจะออกมาเป็นยังไง เดี๋ยวก็ได้รู้กันในสุดสัปดาห์นี้

ลุ้นท็อปโฟร์, หนีตกชั้น ! 5 เกมน่าสนใจแมตช์สุดท้ายพรีเมียร์ลีก ซีซั่น 2019/2020


วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคมนี้ จะเป็นเกมสุดท้ายของฤดูกาล 2019/2020 


โดยแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ทราบกับไปเรียบร้อยแล้วว่าเป็นของ ลิเวอร์พูล แต่ก็ใช่ว่าเกมลีกสูงสุดเมืองผู้ดีจะหมดความตื่นเต้น เพราะยังมีการลุ้นทำอันดับไปลุยฟุตบอลถ้วยยุโรป และการหนีตกชั้นให้ลุ้นเสียวท้องน้อย โควตายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ตอนนี้เหลือแค่ 2 ที่เพราะ "หงส์แดง" กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซิวไปเรียบร้อยแล้ว 2 ตำแหน่ง ฉะนั้นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี และ เลสเตอร์ ซิตี้ ต้องขับเคี่ยวกันจนหยดสุดท้ายเพื่อที่โอกาสที่จะได้ลุยในเกมถ้วยใบโตยุโรป

 ขณะเดียวกันการลุ้นอันดับไปเล่นถ้วยยูฟ่า ยูโรปา ลีก ก็ยังไม่จบ เพราะ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ กับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ยังมีโอกาสที่จะได้ตั๋วใบนี้ ส่วนการหนีตกชั้นทั้ง แอสตัน วิลล่า, วัตฟอร์ด และ บอร์นมัธ ก็ต้องสู้ยิบตา แม้ "เดอะ เชอร์รี่ส์" จะมีโอกาสน้อยที่สุด แต่ก็ใส่ให้เต็มที่พร้อมแช่งชักหักกระดูสองทีมที่อยู่ด้านบนให้เพลี่ยงพล้ำและเสียประตูเยอะๆ 1. เลสเตอร์ ซิตี้ พบ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สถานการณ์ ณ เวลานี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถือไฟ่เหนือกว่า เลสเตอร์ ซิตี้ เพราะพวกเขารั้งอันดับ 3 โดยมี 63 คะแนน สำหรับแมตช์ที่สนามคิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม ทั้งสองทีมต้องการชัยชนะเป็นอันดับแรก เพื่อเป็นการการันตีท็อปโฟร์แน่นอน โดยไม่ต้องไปสนใจคู่ของ เชลซี กับ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ กระนั้นหากเกิดเหตุทีมของกุนซือโอเล่ กุนนาร์ โซลชา สะดุดขาตัวเองออกไปโดน "เดอะ ฟ็อกซ์" สอย งานนี้พวกเขาต้องลุ้นโควตาถ้วย "หูกาง" โดยหวังให้ วูล์ฟส์ ชนะ เชลซี นั่นจะทำให้ "สิงห์บลูส์" มี 63 คะแนนเท่ากับ "เร้ด เดวิลส์" แต่ผลต่างประตูได้เสีย แมนฯ ยูฯ (+28) เหนือกว่า เชลซี (+13) เยอะ ในขณะที่ เลสเตอร์ หากเก็บได้ 1 คะแนน งานนี้ต้องลุ้นให้ เชลซี โดน วูล์ฟส์ บุกมาสอยถึง "เดอะ บริดจ์" นั่นจะทำให้พวกเขายึดอันดับ 4 ด้วยผลต่างประตูได้เสียที่เหนือกว่า "สิงโตน้ำเงินคราม" เพราะทั้งสองทีมยิงประตูได้เท่ากันที่จำนวน 67 ลูก แต่ "เดอะ ฟ็อกซ์" เสียประตูน้อยกว่า ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาได้เปรียบตรงจุดนี้ ยังไม่หมดแค่นั้น เจมี่ วาร์ดี้ กองหน้าตัวเก่งเลสเตอร์ ต้องพยายามซัดประตูเพิ่มให้ได้ เพราะจะได้มีจำนวนประตูเพิ่มมากขึ้นจากที่ตอนนี้ซัดไปแล้ว 23 ลูก เหนือกว่า แดนนี่ อิงค์ส 2 ประตู และ ปิแอร์ เอเมอริค-โอบาเยมอง 3 ประตู และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กับ ราฮีม สเตอร์ลิง  4 คนละประตู 2. เชลซี พบ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ ตอนนี้ เชลซี รั้งอันดับ 4 มี 63 คะแนนเท่ากับ แมนฯ ยูไนเต็ด แต่ผลต่างประตูได้เสียเป็นรองหลายขุม ขณะเดียวกันพวกเขามีแต้มนำ เลสเตอร์ ซิตี้ เพียงแค่ 1 แต้มเท่านั้น ดังนั้นสิ่งที่จะต้องทำให้ได้ก็คือการเก็บ 3 คะแนนในแมตช์รับมือ วูล์ฟแฮมป์ตัน ให้ได้ เหตุผลสำคัญที่ "สิงโตน้ำเงินคราม" ต้องชนะ เพราะทีมเป็นรองเรื่องประตูได้เสียทั้งกับ "ผีแดง" และ "เดอะ ฟ็อกซ์ (+28 เท่ากับแมนยู) แต่หากเกิดพลาดพลั้งทำได้เพียงแค่เสมอ วูล์ฟส์ งานนี้ก็ต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจด้วยการลุ้นให้ เลสเตอร์ ไม่สามารถเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ถ้าหากเกิดเหตุเลวร้ายยิ่งกว่านั้น นั่นก็คือการแพ้ "หมาป่า" คาสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ งานนี้คงต้องสวดภาวนาให้  "ปีศาจแดง" บุกปราบ "จิ้งจอกสยาม" เท่านั้นถึงจะได้ตั๋วไปลุยศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาล 2020/2021 ด้าน วูล์ฟส์ ก็ใช่ว่าจะยอมง่ายๆ เพราะสถานการณ์ของพวกเขาก็สุ่มเสี่ยงที่จะพลาดโควตา ยูฟ่า ยูโรปา ลีก เนื่องจากมีแต้มนำ สเปอร์ส แค่ 1 คะแนน หากเสมอ หรือแพ้ และ ทีมของกุนซือโชเซ่ มูรินโญ่ ชนะ คริสตัล พาเลซ นั่นหมายวา "ไก่เดือยทอง" จะแซงขึ้นมาอยู่ที่ 6 ทันที

louisvilleghostwalks.com

เกมสำคัญนัดส่งท้ายพรีเมียร์


3. อาร์เซน่อล พบ วัตฟอร์ด เกมนี้ อาร์เซน่อล ไม่มีอะไรต้องลุ้นอยู่แล้ว เพราะยังไงพวกเขาก็ไม่มีทางทำอันดับไปเล่นในฟุตบอลถ้วยยุโรปแน่นอน แต่สำหรับ วัตฟอร์ด นี่คือเกมแห่งชีวิต เพราะสถานการณ์ของพวกเขายืนอยู่ปากเหวเนื่องจากมี 34 คะแนนอยู่ในโซนตกชั้น

เป้าหมายหลักของ "แตนอาละวาด" ก็คือต้องบุกชนะ "เดอะ กันเนอร์ส" ถึงถิ่นเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ให้ได้ พร้อมกับยิงประตูให้ได้เยอะๆ เนื่องจาก วัตฟอร์ด มีประตูได้เสีย (-27) เป็นรอง แอสตัน วิลล่า (-26)  หาก "สิงห์ผงาด" ชนะ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด คะแนนจะเท่ากันที่ 37 แต้ม ฉะนั้นตัวแปรสำคัญก็คือผลต่างประตูได้เสียที่จะชี้ชะตาว่าใครจะได้อยู่รอด ขณะที่ บอร์นมัธ มีงานหนักรออยู่เมื่อต้องไปเยือน เอฟเวอร์ตัน ที่กูดิสัน พาร์ค ซึ่งพวกเขาต้องเอาชนะให้ได้สถานเดียวและต้องยิงประตูให้ได้เยอะๆ เพื่อจะได้ขยับแต้มจาก 31 คะแนน เป็น 34 แต้ม พร้อมสวดอธิษฐานให้ วัตฟอร์ด และ แอสตัน วิลล่า แพ้คู่แข่งและเสียประตูเยอะๆ จากนั้นค่อยมาวัดผลต่างประตูได้เสีย ซึ่ง ณ เวลานี้ "เดอะเชอร์รี่ส์" ติดลบ 27 เท่ากับ "แตนอาละวาด" 4. เวสต์แฮม ยูไนเต็ด พบ แอสตัน วิลล่า แอสตัน วิลล่า เจอกับงานหนักไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเพราะต้องไปเยือน "ขุนค้อน" เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ที่ฟอร์มกำลังแรง แถมได้กำลังใจมาเป็นกระบุงจากการบุกเสมอ "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-1 ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด  ในเกมก่อนหน้านี้ แม้สถานการณ์ของ "สิงห์ผงาด" จะอยู่อันดับ 17 เหนือโซนตกชั้นก็ตามแต่มีแค่ 34 แต้มเท่ากับ วัตฟอร์ด โดยผลต่างประตูได้เสีย วิลล่า ติดลบ 26 ส่วน "แตนอาละวาด" ติดลบ 27  ดังนั้นพวกเขาต้องพยายามเอาชนะ "เดอะ แฮมเมอร์ส" พร้อมยิงประตูให้ได้เยอะๆ เพื่อที่จะการันตีการอยู่รอดปลอดภัย หากเกิดกรณีที่ วัตฟอร์ด ก็ชนะคู่แข่งเช่นกัน กระนั้นหากเสมอ หรือแย่ที่สุดคือแพ้ งานนี้ก็ต้องรีบไปตั้งกะทะเผาพริกเผาเกลือแช่งทั้ง วัตฟอร์ด และ บอร์นมัธ แพ้คู่แข่ง เพราะหากทั้งสองทีมดันเกิดชนะ และยิงประตูได้เยอะๆ อาจจะส่งผลให้ "สิงห์ผงาด" น้ำตาร่วงก็เป็นไปได้ louisvilleghostwalks.com 5. นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด พบ ลิเวอร์พูล เกมนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรน่าสนใจเนื่องจาก ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ไปเรียบร้อยแล้ว แต่จริงๆ แล้วยังมีสถิติที่ "หงส์แดง" มีโอกาสจะทำลายได้นั่นก็คือการเก็บคะแนนมากที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์สโมสร หากพวกเขาบุกชนะ "สาลิกาดง" ในแมตช์สุดท้ายของซีซั่น ในเวลานี้ทีมของกุนซือเจอร์เก้น คล็อปป์ ทำไปแล้ว 96 คะแนนน้อยกว่าเมื่อฤดูกาล 2018/2019 ซึ่งพวกเขาได้รองแชมป์ลีก เพียง 1 แต้มเท่านั้น ฉะนั้นหากสามารถหักคอ "สาลิกาดง" คาถิ่นเซนต์ เจมส์ พาร์ค จะทำให้ทีมมี 99 คะแนนสร้างสถิติใหม่ขึ้นมาทันที แถมยังเป็นสถิติคะแนนสูงสุดพร้อมกับตำแหน่งแชมป์ลีกในรอบ 30 ปีซะด้วย

นอกจากนี้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยังมีลุ้นคว้ารางวัลดาวซัลโวสูงสุด หรือ "รองเท้าทองคำ" (โกลเด้น บูท)  โดยในเวลานี้ "บังโม" ซัดไปแล้ว 19 ประตู เป็นรอง เจมี่ วาร์ดี้ หัวหอกจอมเก๋า เลสเตอร์ ซิตี้ ถึง 4 ประตู แต่หากเขาทำสำเร็จก็จะเป็นการคว้ารางวัลทรงเกรียตินี้ 3 สมัยซ้อน ต่อจาก อลัน เชียเรอร์ และ เธียร์รี่ อองรี

5เหตุผลเลสเตอร์จะพลิกสถานการณ์คว้าตั๋วชปล.


เปิด 5 เหตุผลที่ เลสเตอร์ จะเบียด แมนฯ ยูไนเต็ด หรือ เชลซี ขึ้นไปคว้าตั๋ว แชมเปี้ยนส์ ลีก หลังทั้ง 3 ทีมต้องแย่ง 2 โควตาในเกมนัดสุดท้ายของซีซั่น

   
เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ผู้จัดการทีม เลสเตอร์ ซิตี้ จะนำทัพ "สุนัขจิ้งจอก" เปิดรัง คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม ลงเล่นเกมสำคัญด้วยการต้อนรับการมาเยือนของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในศึก พรีเมียร์ลีก นัดปิดฤดูกาล วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคมนี้ (22.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย)

ในเวลานี้ แมนฯ ยูไนเต็ด  รั้งอันดับสามของตารางมี 63 คะแนน นำ เชลซี ทีมอันดับสี่ ด้วยผลต่างประตูได้-เสียที่ดีกว่า และอยู่เหนือ เลสเตอร์ อันดับห้า แค่แต้มเดียวเท่านั้น ทำให้ลูกทีมของ ร็อดเจอร์ส ต้องพยายามเอาชนะ "ปีศาจแดง" ให้ได้หรือถ้าเสมอก็ต้องไปลุ้นให้ "สิงห์บลูส์" แพ้ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ขณะที่ เลสเตอร์เมอร์คิวรี่ สื่อท้องถิ่นเชื่อว่า "เดอะ ฟ็อกซ์" ยังมีโอกาสติดท็อปโฟร์ แม้สถานการณ์เป็นรอง แมนฯ ยูไนเต็ด และ เชลซี ก็ตาม ด้วยเหตุผล 5 ข้อดังนี้ 1. ความสด เลสเตอร์ เหนือกว่า 2 ทีม หลังจาก พรีเมียร์ลีก กลับมารีสตาร์ตเมื่อเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา ส่งผลให้ทุกทีมมีโปรแกรมลงสนามแน่นเอี๊ยดต้องเล่นกันเฉลี่ยราว 2 เกมต่อสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม เลสเตอร์ ได้พักมา 1 สัปดาห์เต็มๆ หลังเล่นเกมล่าสุดกับ สเปอร์ส เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 ก.ค. ขณะที่ช่วงนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด และ เชลซี ต้องดวลกันในถ้วย เอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ จากนั้นในช่วงกลางสัปดาห์ เชลซี ต้องลงเตะกับ ลิเวอร์พูล ก่อนแพ้ไป 3-5 ส่วน แมนฯ ยูไนเต็ด เสมอ เวสต์แฮม 1-1 ทำให้จุดนี้ เลสเตอร์ จะได้เปรียบ 2 ทีมคู่แข่งเพราะมีความสดกว่าที่ได้พักมา 1 สัปดาห์เต็มๆ

lombardisonthesound.com

"เดอะ ฟ็อกซ์" ยังมีโอกาสติดท็อปโฟร์ แม้สถานการณ์เป็นรอง แมนฯ ยูไนเต็ด และ เชลซี ก็ตาม


2. ผลงานในบ้านดี แม้เกมนี้จะไม่มีแฟนบอลเข้ามาเชียร์ในสนาม คิง เพาเวอร์ แต่แฟนบอลน่าจะยังพออุ่นใจได้เพราะลูกทีมของ ร็อดเจอร์ส มีผลงานที่ดีเมื่อลงเล่นในบ้าน เลสเตอร์ แพ้แค่นัดเดียวในการลงเล่น พรีเมียร์ลีก 6 เกมหลังสุดที่บ้าน โดยพ่าย แมนฯ ซิตี้ 0-1 รวมทั้งยังเก็บคลีนชีตมา 4 นัดติดเมื่อเล่นที่ คิง เพาเวอร์

3. ผลงานเกมล่าสุด แมนฯ ยูไนเต็ด และ เชลซี ไม่ได้ท็อปฟอร์ม และออกแรงไปเยอะ แมนฯ ยูไนเต็ด ทำได้แค่เปิดรัง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ เสมอ เวสต์แฮม 1-1 เมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยที่ต้องออกแรงไปไม่น้อย หลังโดน "ขุนค้อน" ยิงนำไปก่อน หลังจากตามตีเสมอได้นั้น "ปีศาจแดง" ก็พยายามเร่งเครื่องเพื่อเอาชนะให้ได้แต่ทำไม่สำเร็จ ส่วน เชลซี ก็เสียแรงไปเยอะเหมือนกันในเกมที่ออกไปแพ้ ลิเวอร์พูล 3-5 4. ฟอร์มการเล่นไม่ได้แย่ หลังกลับมาจากรีสตาร์ตนั้น เลสเตอร์ ก็ผลงานตกไปจนเวลานี้ร่วงมาอยู่อันดับ 5 ของตารางแล้ว ทั้งๆ ที่ช่วงกลางฤดูกาลยังมีลุ้นถึงแชมป์ และน่าจะคว้าตั๋วไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อย่างสบายๆ อยู่เลย  อย่างไรก็ตาม ฟอร์มการเล่นของ เลสเตอร์ ไม่ได้ย่ำแย่ อย่างเกมที่ชนะ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 2-0 ก็เล่นกันได้ดี ครองเกมไว้ได้หมด lombardisonthesound.com และมีโอกาสทำประตูหลายต่อหลายครั้ง 5. สุดท้ายยังฝากความหวังไว้ที่ วูล์ฟส์ ได้ หาก เลสเตอร์ ทำได้แค่เสมอ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ยังมีลุ้นที่จะได้ไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก โดยต้องภาวนาให้ เชลซี แพ้ วูล์ฟแฮมป์ตัน คารัง สแตมฟอร์ด บริดจ์ ซึ่งจะส่งผลให้ทั้งสองทีมมีคะแนนเท่ากัน แต่ "เดอะ ฟ็อกซ์" มีผลต่างประตูได้เสียดีกว่า

สำหรับ วูล์ฟส์ ก็ต้องการ 3 คะแนนเหมือนกันเพราะต้องลุ้นคว้าตั๋วไป ยูโรปา ลีก แข่งกับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ทำให้แฟนบอล เลสเตอร์ สามารถฝากความหวังไว้กับทีม "หมาป่า" ได้เช่นกัน

วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

เหมาะกับทีม!อดีตแข้งชี้ลิเวอร์พูลควรสอยซานโช่ให้ได้


เจสัน แม็คเคเทียร์ อดีตมิดฟิลด์ ลิเวอร์พูล ระบุ "หงส์แดง" ควรจะดึง เจดอน ซานโช่ มาเสริมแกร่งให้ได้ 


เพราะตอนนี้พวกเขายังต้องมีตัวเลือกในตำแหน่งแนวรุกตัวที่ 4 ที่สามารถไว้เนื้อเชื่อใจได้ เจสัน แม็คเคเทียร์ อดีตกองกลางคนดังของ ลิเวอร์พูล สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งวงการ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ แนะนำอดีตต้นสังกัดว่าควรจะคว้าตัว เจดอน ซานโช่ ปีกคนเก่งของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ มาร่วมทัพหลังจบฤดูกาลนี้

ปัจจุบัน 3 แนวรุกตัวจริงของ ลิเวอร์พูล อันประกอบไปด้วย โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมอย่างมากจนช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตาม บางคนก็มองว่าตัวเลือกอื่นๆ ในแดนหน้าของ "หงส์แดง" ยังไม่พร้อมที่จะก้าวขึ้นมาทดแทน 3 แนวรุกตัวหลัก ไม่ว่าจะเป็น ดิว็อค โอริกี้, ทาคูมิ มินามิโนะ, เคอร์ติส โจนส์ หรือ ริอาน บรูว์สเตอร์ แม็คเคเทียร์ ที่เคยอยู่กับ ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 1995-99 เผยว่า "ถ้าพวกเขามีเงินแล้วล่ะก็ นักเตะที่ควรจะดึงมาร่วมทีมให้ได้ก็คือ เจดอน ซานโช่ เขาจะเข้ากับระบบได้อย่างลงตัว และฤดูกาลหน้าก็จะเป็นช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบที่จะเพาะบ่มเขา ยกเว้นว่าใน 3 แนวรุกมันจะมีคนที่ได้รับบาดเจ็บจนทำให้เขาต้องลงเล่นเร็วกว่าที่ควรจะเป็นน่ะนะ"

lioneltracks.com

เคอร์ติส โจนส์ หรือ ริอาน บรูว์สเตอร์ แม็คเคเทียร์ ที่เคยอยู่กับ ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 1995-99 เผยว่า


"พวกเขา (ลิเวอร์พูล) อาจจะแถมนักเตะให้เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในข้อเสนอที่ยื่นให้ ดอร์ทมุนด์ พิจารณาก็ได้ เพราะปัญหาใหญ่ที่สุดที่เราเจอกันในตอนนี้ก็คือเรื่องที่ยังไม่รู้ว่าสภาพตลาดจะเป็นยังไง ตัวเลือกในตำแหน่งกองหน้าลำดับที่ 4 ของ ลิเวอร์พูล ยังถือว่าห่างจาก 3 ตัวเลือกลำดับแรกอยู่ และ ซานโช่ จะเข้ากับบทบาทนั้นได้อย่างลงตัว"

"เขาอาจจะทำให้ ซาลาห์ และ มาเน่ เจอแรงกดดันจนต้องโชว์ฟอร์มเก่งออกมาให้ได้ด้วย จริงอยู่ว่าทั้ง 2 คนนั้นกำลังเล่นได้ยอดเยี่ยม แต่พวกเขาก็ไม่มีใครมาคอยกดดันพวกเขาเลย (สื่อว่า ซาลาห์ กับ มาเน่ อาจจะตายใจจนทำให้ฟอร์มดร็อป) เรายังไม่ได้เห็นถึงคุณภาพของ ทาคูมิ มินามิโนะ มากนัก ส่วน เคอร์ติส โจนส์ กับ ริอาน บรูว์สเตอร์ ถึงแม้จะมีอนาคตที่ดูดี แต่คุณก็จำเป็นต้องมีกองหน้าตัวเลือกลำดับที่ 4 ที่มีคุณภาพดีจริงๆ ให้ใช้งาน" lioneltracks.com "ลองดู แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชุดที่ครองความยิ่งใหญ่ดูก็ได้ พวกเขาเคยมีทั้ง แอนดี้ โคล, ดไวท์ ยอร์ค, เท็ดดี้ เชอริงแฮม และ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา อยู่ในทีม ที่จริง ติโม แวร์เนอร์ จะเหมาะกับทีมเป็นอย่างมาก

แต่การที่ต้องชิงตำแหน่งตัวจริงอาจจะทำให้เขาลังเลและมันก็ไปเข้าทาง เชลซี คุณต้องการนักเตะที่รับมือกับสถานการณ์แบบนั้นได้ แต่การได้ปรับตัวกับการเล่นที่ แอนฟิลด์ สัก 1 ฤดูกาลน่าจะเป็นผลดีต่อ ซาโช่ อย่างมาก แล้วจากนั้นเขาก็อาจจะสามารถระเบิดฟอร์มเก่งได้"

ผิดที่หยาบคาย!แลมพาร์ดลั่นไม่ขอโทษยันสตาฟฟ์ลิเวอร์พูลควรโดน


แฟร้งค์ แลมพาร์ด กุนซือ เชลซี ระบุ แม้ว่าจะรู้สึกผิดที่พูดหยาบคายในระหว่างเกมที่แพ้ ลิเวอร์พูล แต่ก็ไม่คิดที่จะขอโทษกับพฤติกรรมที่ปกป้องลูกทีมแบบดุเดือด 


พร้อมยืนกรานว่าสตาฟฟ์ของ "หงส์แดง" ทำผิดกฎ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ผู้จัดการทีม เชลซี กล่าวว่าไม่ขอโทษกับการที่ตนแสดงพฤติกรรมดุเดือดในการปกป้องลูกทีมระหว่างเกม พรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดที่ "สิงโตน้ำเงินคราม" ออกไปแพ้ ลิเวอร์พูล 3-5 ที่สนาม แอนฟิลด์ เมื่อวันพุธที่ 22 กรกฎาคม ที่ผ่านมา แต่ก็ขอโทษที่ใช้คำหยาบคายในช่วงดังกล่าว

ในช่วงหนึ่งของนัดนั้น แลมพาร์ด แสดงความไม่พอใจกับการทำหน้าที่ของกรรมการที่บอกว่าทีมของตนทำฟาวล์ ซึ่งในจังหวะนั้นสตาฟฟ์โค้ชบางคนของ ลิเวอร์พูล ลุกขึ้นมาตะโกนแย้ง แลมพาร์ด แถมอดีตมิดฟิลด์ชาวอังกฤษยังอ้างว่ามีคนยิ้มแบบเยาะเย้ยใส่เขาด้วย เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ แลมพาร์ด โมโหมากๆ จนถึงขั้นตวาดอย่างหนัก และถึงแม้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล จะพยายามพูดให้ แลมพาร์ด สงบสติลง แต่กุนซือ เชลซี ก็ยังระเบิดอารมณ์อย่างต่อเนื่องจนถึงขั้นเผลอสบถใส่ คล็อปป์ อีกต่างหาก แลมพาร์ด เผยว่า "ในกรณีของภาษาที่ผมใช้ไปนั้นผมยอมรับว่าผมรู้สึกเสียใจที่พูดหยาบคายแบบนั้น จังหวะแบบนั้นมันถูกนำมาฉายซ้ำบนโซเชียลมีเดียเยอะมาก และผมก็ตระหนักถึงเรื่องนั้นเป็นอย่างดี ผมมีลูกสาว 2 คน และพวกเธอก็เล่นโซเชียลมีเดียด้วย ดังนั้นผมเลยรู้สึกเสียใจที่ใช้คำหยาบคายแบบนั้น"

letspartymagazine.com

แลมพาร์ด เผยว่า

   
"อย่างไรก็ตาม ในแง่ของการที่ผมแสดงอารมณ์ร่วมแบบนั้นเพื่อปกป้องทีมของผมแล้วเนี่ย ผมก็ต้องขอบอกว่าผมไม่คิดที่จะขอโทษ แต่แน่นอนว่าผมน่าจะรับมือกับมันในแบบที่ต่างออกไปได้ด้วยการไม่พูดหยาบคายแบบนั้น" "ผมไม่ได้หงุดหงิดกับการฉลองของ ลิเวอร์พูล ผมไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นแม้แต่นิดเดียว ลิเวอร์พูล

สมควรจะฉลองให้มากที่สุดตามที่พวกเขาต้องการ เมื่อพิจารณาถึงผลงานที่พวกเขาทำได้มาตลอดทั้งฤดูกาลน่ะ พวกเขาก็สามารถฉลองตามแบบที่ทำหลังจบเกมได้, พวกเขาสามารถฉลองทุกประตูที่พวกเขาทำได้ เหมือนที่พวกเขาฉลองกันอย่างเต็มที่ในตอนที่การันตีการได้แชมป์เมื่อ 1 เดือนก่อน และพวกเขาก็สมควรได้ฉลองร่วมกับแฟนๆ อีก 1 ครั้งตามที่พวกเขาพูดกันเหมือนกัน" "ที่จริงผมไม่มีปัญหาอะไรที่จะไปดื่มเบียร์กับ เจอร์เก้น คล็อปป์ และร่วมแสดงความยินดีกับสิ่งที่พวกเขาทำได้ในฤดูกาลนี้ด้วยซ้ำ แต่มันมีพฤติกรรมบางอย่างจากซุ้มม้านั่งสำรองของพวกเขาที่ทำให้ผมไม่ชอบใจ ผมไม่ได้โมโหกับการกระทำของ เจอร์เก้น คล็อปป์ คนที่ทำให้ผมไม่พอใจคือคนที่อยู่ในซุ้มม้านั่งสำรอง ผมรู้สึกว่าพวกเขาเลยเถิดเกินไป และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมหงุดหงิด letspartymagazine.com แต่มันก็จบไปแล้วล่ะนะ ในกีฬาฟุตบอลน่ะผู้จัดการทีมส่วนใหญ่, นักเตะหลายคน และบรรดาแฟนๆ จะมีอารมณ์ร่วมสูงเป็นธรรมดา ผมเสียใจกับภาษาที่ใช้ไป และผมก็ไม่สนใจอดีตแล้วล่ะ" แลมพาร์ด ยืนกรานด้วยว่าสตาฟฟ์โค้ชของ ลิเวอร์พูล ทำผิดกฎเกี่ยวกับการสั่งการจากข้างสนามอย่างชัดเจน

"มันขัดกับกฎในการทำหน้าที่จากซุ้มม้านั่งสำรอง ผู้จัดการทีมจะเป็นคนประท้วงเรื่องคำตัดสิน ซึ่งมันอาจจะถูกหรือผิดก็ได้ แล้วจากนั้นคุณก็จะมาคุยกัน แต่เมื่อมีคนกระโจนขึ้นมาจากซุ้มม้านั่งสำรองและอยากพูดกับผมจากอีกฟากหนึ่ง พร้อมกับยิ้มเยาะเย้ยใส่ผม แล้วจากนั้นก็ยังทำอย่างนั้นต่ออีกพักหนึ่งน่ะ มันก็ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎอย่างชัดเจน ผมไม่ได้โกรธ เจอร์เก้น คล็อปป์ แต่สตาฟฟ์ที่อยู่ด้านหลังเขาทำเลยเถิด และนั่นทำให้ผมหงุดหงิด"

ทายถูกไหม? 5 แข้งดาวรุ่งที่มีโอกาสอยู่ไล่ล่าแชมป์กับ ลิเวอร์พูล อีกหลายปี


ลิเวอร์พูล ผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ สมัยแรก และเป็นแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดี สมัยที่ 19 


โดยตอนนี้ "หงส์แดง" ต้องเตรียมความพร้อมเพื่อป้องกับแชมป์ในฤดูกาลหน้า ด้วยการเล็งเสริมทัพในช่วงซัมเมอร์นี้ และการดันผู้เล่นดาวรุ่งขึ้นมาเพื่อเป็นแกนหลักของทีม เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมชาวเยอรมัน สามารถเปลี่ยนความสงสัยให้เป็นความเชื่อได้อย่างที่ลั่นวาจาเอาไว้ โดยเขาสามารถนำ "เดอะ เร้ดส์" ผงาดคว้าแชมป์เป็นว่าเล่นรวมทั้งโทรฟี่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และ พรีเมียร์ลีก ตามลำดับ โดยงานนี้ภารกิจต่อไปของทีมก็คือการที่จะต้องครองอำนาจในวงการลูกหนังเมืองผู้ดีให้ได้

สำหรับการที่จะครองความเป็นจ้าวลูกหนังอังกฤษ ต้องมีขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่พร้อมทดแทนกันได้ตลอดเวลา โดยงานนี้ คล็อปป์ มีความตั้งใจอย่างชัดเจนว่าจะให้โอกาสผู้เล่นดาวรุ่งได้ขึ้นมาเป็นกำลังหลักผสมผสานกับแข้งชั้นยอดของทีมชุดใหญ่ และแน่นอนว่ามีหลายคนที่เราเคยได้เห็นฝีเท้ากันมาแล้วในซีซั่นนี้ ในส่วนของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่ดูเหมือนจะเป็นนักเตะมากประสบการณ์ แต่จริงๆ แล้วเขาอายุเพียงแค่ 21 ปีเท่านั้น และจะเป็นแกนหลักของทีมไปอีกนาน ส่วนอีก 4 คนที่จะมีโอกาสเป็นเสาหลักของทีมในอนาคตมีใครบ้าง ลองมาพิจารณากัน เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ต้องบอกว่า "เจ้าหนูเทรนต์" เต็มไปด้วยพรสวรรค์และศักยภาพมากมายที่จะแสดงออกมาให้เห็นกับทัพ "หงส์แดง" ที่สำคัญผลงานของนักเตะในเวลานี้สุดยอดเกินจะบรรยาย ทั้งๆ ที่เจ้าตัวเพิ่งจะอายุเพียงแค่ 21 ปีเท่านั้น แต่กลายเป็นตัวหลักที่ลิเวอร์พูลขาดไม่ได้เลย คงไม่ใช่การอวยกันจนเกินไปที่จะยกย่อง อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ว่าเป็นแบ็กขวาที่เก่งที่สุดในโลก ณ เวลานี้ ด้วยคุณภาพของเขาที่สามารถทำอะไรได้มากมายทั้งการเปิดบอลที่สุดแสนแม่นยำ และเล่นลูกตั้งแตะ กับการยิงฟรีคิกที่สุดฉมัง ทำให้ตอนนี้นักเตะเป็นผู้เล่นที่สุดอันตรายมากๆ ในส่วนของการเติมเกมรุกถือเป็นจุดเด่นของนักเตะ ขณะที่เกมรับอาจจะต้องมีการปรับปรุงแก้ไขกันบ้าง อย่างไรก็ตามด้วยวัยเพียงแค่ 21 ปีเท่านนั้น แน่นอนว่านักเตะยังสามารถพัฒนาได้ในทุกๆ ด้าน lepashmina.com และจะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นในช่วงหลายๆ ปีต่อจากนี้ เคอร์ติสโจนส์ "เขาไม่เคยขาดความมั่นใจ" และ "เป็นนักเตะลิเวอร์พูลเต็มร้อยเปอร์เซนต์" ข้อความจากปากของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่กล่าวถึง เคอร์ติส โจนส์ หลังจากที่นักเตะแสดงผลงานชั้นยอดในฤดูกาลนี้ ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ดีเยี่ยมที่ทำให้เขาคู่ควรกับการได้รับสัญญาฉบับใหม่

lepashmina.com

สาวก "เดอะ ค็อป" จำได้แม่นยำกับจังหวะการยิงประตูสุดสวย


ในแมตช์ที่ชนะ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" เอฟเวอร์ตัน ในศึกเอฟเอ คัพ และด้วยศักยภาพของเขาทำให้ คล็อปป์ มักจะให้โอกาสลงเล่นกับทีมชุดใหญ่ในเกมพรีเมียร์ลีก แม้จะเป็นเพียงตัวสำรอง แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมสำหรับเขา ที่สำคัญในฤดูกาลหน้า กองกลางวัย 19 ปี จะได้เปลี่ยนหลายเลขเสื้อจากที่ใส่เบอร์ 48 ไปเป็นหมายเลข 17 ตั้งแต่การแข่งขันในฤดูกาล 2020/21 เป็นต้นไป ถือเป็นการเดินตามรอย สตีเว่น เจอร์ราร์ด ยอดตำนานกองกลางกัปตันทีม ที่เคยสวมเสื้อหมายเลข 17 ช่วงระหว่างปี 2000 ถึง 2004 ก่อนโยกไปสวมเสื้อเบอร์ 8 จนกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว

 เนโก วิลเลี่ยมส์ แบ็กขวาชาวเวลส์ ได้รับโอกาสจาก คล็อปป์ ให้ลงสนามอย่างต่อเนื่องในฤดูกาลนี้แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ยางอะไหล่ของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ในเกมลีกก็ตาม แต่เขาคือผู้เล่นตัวหลักของ "หงส์แดง" ในเกมเอฟเอ คัพ และ คาราบาว คัพ ที่สำคัญนักเตะควรจะขอบคุณ คล็อปป์ ที่ให้โอกาสเขาได้ลงเล่นในเกมพรีเมียร์ลีก จนทำให้เก็บจำนวนการลงสนามได้มากพอที่จะคว้าเหรียญแชมป์ลีกมาคล้องคอได้สำเร็จในวัยเพียงแค่ 19 ปี ซึ่งถือเป็นประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมสำหรับนักเตะในการพัฒนาตัวเอง แน่นอนว่าตำแหน่งของเขาทับกับ "เจ้าหนูเทรนต์" แต่ผลงานในช่วงที่ผ่านมาทำให้หลายคนมองว่าหาก รุ่นพี่ฟอร์มหลุดมีโอกาสที่จะโดนเสียบแทนทันที นอกจากนี้นักเตะยังสามารถปรับตัวไปเล่นตำแหน่งแบ็กซ้ายก็ได้ ซึ่งไม่แน่ว่าเราอาจจะได้เห็นเขาทำหน้าที่นี้ในซีซั่นหน้า ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ "เจ้าหนูหัวจุก" เป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดที่ได้ลงเล่นในหน้าประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก สมัยที่เล่นให้ "เจ้าสัวน้อย" ฟูแล่ม ก่อนจะย้ายมาเป็นสมาชิกใหม่ของ ลิเวอร์พูล และนักเตะพัฒนาฝีเท้าอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นหนึ่งในแข้งดาวรุ่งที่น่าจับตามองที่สุดในวงการลูกหนังเมืองผู้ดี ในวัยเพียงแค่ 17 ปี เอลเลียตต์ มีโอกาสได้ลงเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล 8 เกมจากทุกรายการ โดย ปีเตอร์ คราเวียตซ์ ผู้ช่วยโค้ช "หงส์แดง" ยอมรับว่านักเตะรายนี้มีอนาคตสดใสถึงขั้นที่จะก้าวไปเป็นสตาร์ดังของทีม เพียงแต่ขอให้เขาพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ จริงๆ แล้วต้องบอกว่าน่าเสียดายสำหรับ เอลเลียตต์ ซึ่งย้ายมาจากฟูแล่ม เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา อยู่นิดนึงตรงที่เขาได้ลงเล่น 8 แมตช์ก็จริง แต่ได้ลงสนามในเกมพรีเมียร์ลีก แค่ 2 นัดเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ทำให้ไม่ถึงเกณฑ์ที่จะรับเหรียญแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดี คี-ยานา ฮูแฟร์ ลิเวอร์พูล เซ็นสัญญาคว้าตัว คี-ยานา ฮูแฟร์ มาจากศูนย์ฝึกเยาวชนของ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม  โดยนักเตะได้มีโอกาสลงเล่นเปิดตัวให้กับ ลิเวอร์พูล ในวัยพียงแค่ 16 ปีเท่านั้น พร้อมกับทำผลงานได้อย่างโดดเด่นเป็นสง่าแมตช์ปะทะ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ ศึกเอฟเอ คัพ ฮูแฟร์ กลายเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ลงเล่นเกม เอฟเอ คัพ ให้กับ ลิเวอร์พูล ด้วยวัย 16 ปี กับอีก 354 วัน อย่างไรก็ตามตอนนี้ ดาวเตะเลือดดัตช์ อายุครบ 18 ปีบริบูรณ์แล้ว และเขากำลังพัฒนาฝีเท้าในฐานะเซนเตอร์แบ็กแห่งอนาคตของ "เดอะ เร้ดส์"

นักเตะดาวรุ่งรายนี้มีความนิ่ง และครองบอลได้เนียนเท้า นอกจากนี้ยังเล่นได้อย่างสุขุม ทำให้มีหลายคนนำเขาไปเปรียบเทียบกับ อลัน แฮนเซ่น ตำนานแนวรับ "หงส์แดง" ที่สำคัญการที่ ฮูแฟร์ ได้มีโอกาสเรียนรู้สไตล์การเล่นจาก เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ยิ่งจะทำให้เขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็ก

จับตานัดสุดท้าย! ใครมีลุ้นซิวรางวัลรองเท้า-ถุงมือทองคำพรีเมียร์ลีก


นัดสุดท้ายของพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2019/20 ในวันอาทิตย์นี้จะเป็นศึกตัดสินของการลุ้นโคว้าต้า ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูโรปา ลีก รวมถึงการหนีตกชั้นอีกด้วย 


แต่ก็มีอีกหลายสิ่งที่น่าจับตามองนอกเหนือจากนี้โดยเฉพาะการขับเคี่ยวลุ้นรองเท้าทองคำและถุงมือทองคำ รางวัลรองเท้าทองคำ เหลืออีกแค่ 1 นัด เจมี่ วาร์ดี้  จะคว้ารางวัลรองเท้าทองคำพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในอาชีพการค้าแข้งหลังจากเคยเฉียดได้มาแล้วในฤดูกาล 2015/16 ที่ เลสเตอร์ ซิตี้ เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก (2015/16 - วาร์ดี้ เป็นรองดาวซัลโว 24 ประตู)
 
กองหน้าวัย 33 ปีนำดาวซัลโวตั้งแต่ครึ่งฤดูกาลแรกโดยเขาถล่มตาข่ายถึง 17 ลูกจาก 19 นัดแรกของซีซั่น อย่างไรก็ตามหลังจากลีกกลับมารีสตาร์ท เลสเตอร์ ซิตี้ เข้าสู่ช่วงฟอร์มตกรวมถึงมีปัญหานักเตะบาดเจ็บมากมายทำให้ส่งผลกระทบต่อฟอร์มของ วาร์ดี้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาเจาะตาข่ายคู่แข่งได้เพียง 4 ประตูเท่านั้นแต่ยังเพียงที่จะรั้งเป็นผู้นำดาวซัลโวอยู่ อย่างไรก็ตามยังพอมีเวลาที่หนึ่งในผู้ตามจะไล่มา มีผู้เล่นอยู่ 4 คนด้วยกันที่มีโอกาสยิงมาทาบหรือแซง เจมี่ วาร์ดี้ ในคืนวันสุดท้ายของซีซั่น คนแรกคือ แดนนี่ อิงส์ หัวหอกเซาธ์แฮมป์ตัน ซึ่งคงเป็นนักเตะที่หลายคนคาดไม่ถึงว่าจะขึ้นมาลุ้นดาวซัลโวกับเขาด้วย โดยตั้งแต่รีสตาร์ทลีกมาเดือนที่แล้ว เจ้าตัวก็ระเบิดฟอร์มฮอตยิง 6 ประตูจาก 8 นัด ทำให้ประตูรวมฤดูกาลนี้อยู่ที่ 21 ลูกตามหลัง วาร์ดี้ แค่ 2 ประตู เพราะฉะนั้นนัดสุดท้ายที่ เซาธ์แฮมป์ตัน จะเปิดบ้านพบกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด แดนนี่ อิงส์ จะต้องยิงอย่างน้อยสองประตูเพื่อเขาคว้ารางวัลรองเท้าทองคำไห้ได้ คนที่สองคือ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง กัปตันทีมของอาร์เซน่อล เจ้าของรางวัลรองเท้าทองคำร่วมกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ ซาดิโอ มาเน่ เมื่อฤดูกาลที่แล้ว สำหรับฤดูกาลนี้กองหน้ากาบ็องยังคงรักษาฟอร์มได้เยี่ยมโดยทำไปแล้ว 20 ประตู และเกมสุดท้ายในการเจอกับทีมหนีตกชั้นอย่าง วัตฟอร์ด เขาจะต้องทำแฮตทริกให้ได้เป็นอย่างน้อย นักเตะอีกสองคนที่เหลือคือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ ราฮีม สเตอร์ลิง ที่ยิงเท่ากันที่ 19 ประตู แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะขยับมาทาบ วาร์ดี้ แต่ยังถือว่ามีความเป็นไปได้เมื่อทั้งสองเจอกับคู่แข่งที่ไม่ยากนัก โดยเฉพาะในรายของ สเตอร์ลิง ที่ยิงแฮตทริกมาแล้วในเกมพบ ไบรท์ตัน แถมนัดสุดท้าย แมนฯซิตี้ จะต้องเจอกับบ๊วยของตารางด้วย ขณะที่ ซาลาห์ จะต้องมีสกอร์ให้ได้ในเกมเยือน นิวคาสเซิ่ล รางวัลเพลย์เมคเกอร์ยอดเยี่ยมหรือรางวัลสำหรับคนที่ทำแอสซิสต์ได้มากที่สุดซึ่งฤดูกาลนี้คนที่นำโด่งมาแต่ไกลเลยคือ เควิน เดอ บรอยน์ ที่ 19 แอสซิสต์ ทิ้งอันดับสองอย่าง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ (13 แอสซิสต์) และอันดับสามอย่าง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน (11 แอสซิสต์) แบบไม่เห็นฝุ่น
 
lelv30.net

อาจจะไม่มีอะไรให้ลุ้นมากมายแต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เดอ บรอยน์ จะทำลายสถิติแอสซิสต์สูงสุดในหนึ่งฤดูกาลได้หรือไม่ 


โดยสถิติสูงสุดยังเป็นของ เธียร์รี่ อองรี ที่ทำ 20 แอสซิสต์จากฤดูกาล 2002/03 และตอนนี้มิดฟิลด์ “เรือใบสีฟ้า” ตามหลังอยู่แค่แอสซิสต์เดียว มีสถิติเทียบเท่ากับ เมซุต โอซิล ที่เคยทำได้ในฤดูกาล 2015/16 เกมสุดท้าย แมนฯ ซิตี้ จะต้องพบกับ นอริช ซิตี้ ทีมบ๊วยของตารางด้วย มีโอกาสสูงเหมือนกันที่ เดอ บรอยน์ จะทำสถิติเทียบเท่าหรือมากกว่า

อย่างไรก็ตามต้องดู เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จะทำการโรเตชั่นผู้เล่นเพื่อพักนักเตะตัวหลักไว้สู้ศึก ชปล. ในวันที่ 7 สิงหาคม นี้หรือไม่ รางวัลถุงมือทองคำ สำหรับรางวัลถุงมือทองคำหรือผู้รักษาประตูที่เก็บคลีนชีทได้มากที่สุดในลีก เหลือผู้ท้าชิงอยู่แค่ 2 คนเท่านั้น คนแรกคือ นิค โป๊ป มือกาวจากเบิร์นลี่ย์ ที่ฤดูกาลนี้ทำผลงานยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก นอกจากจะเป็นผู้นำคลีนชีทที่ 15 นัดแล้ว เขายังมีสถิติเซฟด้วยเท้ามากที่สุดในลีก (22 ครั้ง) รวมถึงมีสถิติคว้าบอลจากลูกครอสมากที่สุดในลีกด้วย (45 ครั้ง) ฤดูกาลที่แล้วเขาไม่ได้ลงตลอดทั้งฤดูกาลเนื่องจากอาการบาดเจ็บไหล่แต่ฤดูกาลเจ้าตัวลงเล่นทุกนาทีให้กับ เบิร์นลี่ย์ ถือเป็นการกลับมาได้อย่างยอดเยี่ยม และด้วยฟอร์มแบบนี้มีสิทธิ์ที่เขาจะเบียด จอร์แดน พิคฟอร์ด ขึ้นไปเป็นมือหนึ่งทีมชาติอังกฤษด้วย lelv30.net นัดสุดท้าย เบิร์นลี่ย์ จะเจอกับ ไบรท์ตัน หากเก็บคลีนชีทได้สำเร็จ มีโอกาสจะซิวรางวัลถุงมือทองคำ ทว่ายังมีอีกหนึ่งคนที่เป็นผู้ท้าชิงนั่นคือ เอแดร์ซอน นายด่านแมนฯซิตี้ ซึ่งหลังจากทีมบุกถล่ม วัตฟอร์ด 4-0 ก็ทำให้เขาเก็บคลีนชีท 15 นัดเท่ากับ นิค โป๊ป แล้ว
 
ฤดูกาลที่แล้ว เอแดร์ซอน (20 คลีนชีท) พลาดซิวรางวัลหลังจากอย่างน่าเสียดายหลัง อลีสซง เบ็คเกอร์ ผู้รักษาประตูลิเวอร์พูล เก็บคลีนชีทมากกว่าหนึ่งนัด แต่ฤดูกาลนี้เจ้าตัวมีโอกาสสูงทีเดียวที่จะได้รางวัลซึ่งอาจจะเป็นรางวัลกับ นิคโป๊ป ร่วมหรือรางวัลเดี่ยว ขึ้นอยู่กับเกมสุกท้ายที่ “เรือใบสีฟ้า” จะเปิดรังพบกับ นอริช ซิตี้

ผีลุ้นขึ้นที่6! 7 ประเด็นก่อนเกมแมนยูบุกรังเซาธ์แฮมป์ตัน

คืนนี้ "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เจออีกหนึ่งบททดสอบสำคัญ ในศึก พรีเมียร์ลีก "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีคิวบ...